เพราะสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น

22 ก.ย. 55 / 1364 อ่าน

เปิดไฟ ไฟติด กดสวิทช์> ไฟติด > อ่านหนังสือ (ถ้าไม่มีไฟ เวลานั้นไม่ได้อ่าน เรื่องจากนี้อาจเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแทน) เมื่อได้อ่าน > เกิดความรู้ เกิดปัญญา > พ้นทุกข์ได้ในเวลานั้น > จึงสนใจสู่การปฏิบัติ   หากไฟไม่ติดเรื่องอาจจะเปลี่ยนไป กดสวิทช์ > ไฟไม่ติด ไฟดับ > เดินไปหยิบของในตู้เย็น > มองไม่เห็น> มือปัดแก้ว > แก้วตกแตก > เดินไปเหยียบแก้วแตก เพราะสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น ตลอดเวลาเรื่องราวในชีวิตอาจเปลี่ยนไปจากเหตุปัจจัย ทำให้ไปพบเรื่องอื่นๆ หากทำเหตุดีผลจะดี หากสร้างเหตุไม่ดีผลจะไปพบกับสิ่งไม่ดี ดังนั้นทุกวินาทีสติปัญญาจะเปลี่ยนชีวิตหันเหเข้าสู่กุศล   กดสวิทช์ เป็นเหตุ ไฟติดเป็นผล > ไฟติดเป็นเหตุ > อ่านหนังสือเป็นผล > อ่านหนังสือเป็นเหตุ > เกิดปัญญาความรู้เป็นผล > เกิดปัญญาความรู้เป็นเหตุ >> > สร้างประโยชน์ให้กับสังคมเป็นผล >....   แต่หากมีโมหะ, โลภะ ผลอาจเปลี่ยนไป ผลจะกลายเป็นเหตุ เหตุก็ไปสร้างผล... หรือ > ตักตวงผลประโยชน์เข้าตัว ทำทุจริตเป็นผล >....   นี้คือความเป็นอิทับปัจจยตา เพราะมีเหตุจึงเป็นผล แล้วผลจะกลายเป็นเหตุต่อไปและไปสร้างผล ไม่มีที่สิ้นสุด?   เห็นหรือไม่ว่าแต่จะทางเลือกหรือทางสองแพร่งอยู่เป็นระยะๆว่าผลอาจเปลี่ยนจากกุศลเป็นอกุศลหรือไม่ก็เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล ดังนั้นจึงเปลี่ยนนั้นต้องมีสติประกอบเพื่อให้การสร้างเหตุเป็นการสร้างกุศล   ฝึกที่จะเห็นอย่างนี้ในทุกๆเรื่องแล้วจะวนเข้าสู่ปัญญาในระดับปฏิจจสมุปบาทจนวิมุตติได้ด้วยมุมมองเดียวกัน   รูปนามในโลกในจักรวาลอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งหมด ลองเอาไปจับดูให้เห็นด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งจะเข้าถึงอนัตตาธรรม จนเห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนี้เอง ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือ สร้างเหตุที่ดีไว้ จนวันหนึ่งทำแต่เหตุไม่ยึดผล ไม่สร้างผู้ทำเหตุ จะอยู่ในสภาพ "นอกเหตุ เหนือผล" 2012-09-22