มีวันเริ่ม มีวันจบ วันจบมาถึงแน่ ก่อนหน้านี้วันสุดท้ายอยู่ในอนาคต ตอนจบจริงๆแทบหาไม่เจอว่าอยู่ตอนไหน พอตอนนี้เป็นอดีตไปซะงั้น ใครเห็นอนิจจังจริงๆ จะไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคตให้ยึดถือ เพราะมันแค่เป็นไปไหลเรื่อยเพราะเหตุปัจจัย แค่เห็นอนิจจังก็เห็นธรรมพ้นทุกข์ได้ปานนี้
แต่ไม่ใช่ไม่ทำอะไร ทำเต็มที่แต่ไม่มีอะไรต้องยึดถือ ที่เหลืออยู่ของทีมงานก็คือความทรงจำที่ได้เคยทำดี เอาเป็นของเราก็ทุกข์(หรือสุข? ป่านนี้แล้ว) จะว่าทีมงานอยู่ไหนยังไม่รู้เลย มันแค่แต่ละคนทำหน้าที่ของตน เป็นอิสระทั้งจากตนและผู้อื่น มันแค่มายืนใกล้ๆกันเท่านั้นเอง
ความทรงจำที่ดีหรือสัญญามีอยู่ ไม่ได้มาทำลายสัญญา แต่อะไรจะสบายเท่าสัญญาก็ว่างจากตัวตน ว่างทั้งจากตัวมันเองเพราะตัวมันว่างอยู่แล้ว ว่างทั้งจากการมีผู้ไปยึดถือ ว่างจากผู้รู้ รู้ก็รู้ได้แต่ผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่า แม้ผู้จะยึดรู้ก็ยังไม่มี เพราะจิตไม่ยึดตัวเอง เรื่องราวก็จบ สงบเย็น เป็นอิสระ อย่างแท้จริง โปร่ง โล่ง อิสระจากผล ทำเหตุดีที่สุด แม้การกระทำที่เหตุก็ไม่ถูกยึด จึงทำอย่างดีที่สุดเพื่อผู้อื่น ไม่โง่สร้างตนขึ้นมาแล้วผู้ทุกข์จะมีจากไหน
ปลีกวิเวกกลางฝูงชนอิสระจากสรรพสิ่งทั้งภายในภายนอก ทำงานให้คนตื่นเกิดตาใน เกิดไม่เกิดคุมไม่ได้ เกิดตาในมีสติขึ้นมา ก็พอจะได้อุปกรณ์ ไว้ให้เกิดตาปัญญาในวันหน้า เกิดปัญญาวันหน้าก็ปล่อยความยึดถือในปัญญานั่นถึงจะสันติสุข วันนี้ถ้าแค่ตาในก็ยังไม่มีจะเอาอะไรมาทำให้ตาปัญญาเกิด ตาในมีก็ยังเป็นตาในกู กว่าตาในจะตั้งมั่นก็ต้องว่ากันต่อไป ตั้งมั่นได้แล้วถึงจะเกิดตาปัญญากระพริบๆบ้าง พอกระพริบก็ยึดปัญญามาเป็นของกูอีก อิสระอยู่ไหนหนา Pass ชั้นบ้างก็ได้นะเดี๋ยวจะตายก่อน
ระดับชั้นของปัญญา
- ทำเหตุ เกิดผล พอใจผล(ไม่พอใจผล) โง่เข้าไปยึดผลเป็นสุขเป็นทุกข์ นี่เรียกปุถุชน
- เห็นผลเปลี่ยนแปลง อารมณ์ที่เกิดเปลี่ยนแปลง ปล่อยความยึดถือ เห็นอนิจจัง
- เห็นผลเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุหลากหลายทำให้ผลเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ จึงเห็นสภาพทุกข์ทั้งในใจและสภาพภายนอก เห็นทุกขัง จะมีผู้ทุกข์หรือไม่มีผู้ทุกข์ สรรพสิ่งล้วนมีสภาพบีบคั้น
- เห็นว่าสรรพสิ่งต่างๆไม่มีอะไรเลย แปรเปลี่ยนไปเพราะมีเหตุ เหตุปัจจัยก็มากมาย ควบคุมอะไรไม่ได้ ที่ว่าจะคุมได้ก็ยังคุมไม่ได้ เพราะผู้จะคุมเองยังขึ้นกับเหตุปัจจัยเลย เลยไม่มีอะไรเป็นตัวตนสักอย่าง แล้วจะอะไร ใครจะคุมอะไร โง่สุขเพราะมันเกิดมาถูกใจเฉยๆ โง่ทุกข์เพื่อไม่ได้ดังหวัง โง่เฉยๆ เพราะโง่โมหะครอบไว้
- เห็นแต่รูปนาม ไม่มีอะไรเลยนอกจากรูปนาม ขันธ์ทั้งหลายก็แค่รูปนาม ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นก็ไม่ได้ดีใจที่เราเข้าใจมีสัมมาทิฏฐิ และเขาก็ไม่ได้เสียใจที่ถูกยึดถือ จิตโง่เอง หายโง่ก็เพราะปล่อยความยึดถือจิตเอง แชนเดอเลียอันแสนใหญ่โตวิจิตรพิสดารแต่โคตรจะหนักที่ประดับอยู่บนฝ้าเพดาน ก็จะหลุดล่วงลงมาทั้งพวง เพดานจะได้เบาซะที
- พระอรหันต์เลยสูญเหรอ แล้วท่านไปไหนล่ะ เล่นรอบกองไฟกลัวไฟดับจึงใส่ฟืน ไม่มีฟืนไม่มีอากาศไฟดับ วันนี้ใสฟืนกันไม่หยุดเพราะตัณหาเป็นฟืน อุปาทานเป็นอากาศ หยุดฟืนได้ไฟเริ่มมอดลง อุปาทานน้อยลง ไฟเริ่มหรี่ลง จนหมดอุปาทานในขันธ์เพราะจิตเกิดเป็นวิชชาอากาศหมด หมดเชื้อ ไฟดับสนิท ไฟไปไหนล่ะ ไฟคือขันธ์๕ หมดเชื้อเกิดของขันธ์ ขันธ์ไม่ต้องเกิด เพราะอะไรจะทุกข์เท่าขันธ์ไม่มีแล้ว เอาฟืนออก เอาไฟออก พื้นดินก็อยู่นี่ไม่โดนอะไรทับแล้ว ไม่ก่อเหตุเกิดแล้ว ดินเดิมแท้ก็เป็นของเขาอย่างนั้นอยู่แล้ว ดินไม่อยู่ไม่เคยหายไปไหน ไม่ว่าจะมีไฟมีิอากาศดินก็มีอยู่แล้ว นิพพานไม่เคยหายไปไหน โง่เอาไฟเอาอากาศมาบังเอาไว้เอง ก็การปรุงแต่งขึ้นมาเป็นของเรา เป็นเรา เป็นอัตตาของเรานั่นล่ะการปรุงแต่งที่แท้จริง ไม่ใช่คิด ถ้าคิดแล้วไม่ปรุงมาเป็นของเรา เราก็ไม่ทุกข์ แต่แม้คิดไม่ถูกปรุงมาเป็นของเราคิดเองก็เกิดดับ สภาพเกิดล้วนเป็นทุกข์บีบคั้น คิดเกิดเพราะมีเหตุดับเพราะหมดเหตุ แล้วเกิดมาจากไหน เกิดมาจากความว่างแล้วดับไปไหน ก็ดับไปที่ความว่าง ทุกวันนี้ว่างเคยหายไปไหนหรือ? เหมือนต่อมน้ำ มีน้ำหยดลงมาบนน้ำ..ตุ๋ม..น้ำกระดอนขึ้นไปเป็นต่อมน้ำ..แล้วก็ตกลงมากลายเป็นน้ำ..เหมือนเดิม
จะรู้แจ้งได้
จากปุถุชน>
มีสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น>
มีความตั้งใจที่จะละกาม ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน>
มีศีล>
ละอกุศล เจริญกุศลในใจ ทำสมาธิ มีตาใน เริ่มตั้งมั่น เมื่อตั้งมั่นพอก็จะเกิด>
ตาปัญญา ปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงย้อนกลับไปเห็นว่าเราไม่มี มีแต่ขันธ์๕ เห็นขันธ์เกิดดับ สิ่งเกิดดับเป็นทุกข์บีบคั้น สิ่งเป็นทุกข์บีบคั้นเพราะตัวมันเกิดมาเพราะเหตุปัจจัย จึงเข้าใจรูปนาม
เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นเพียงรูปนาม เห็นแจ้งมากขึ้นจึงปล่อยความยึดถือในขันธ์ เพราะมันมีแต่รูปนามไม่มีเราเลย เข้าใจอย่างนี้นึกว่าพ้นแล้วแต่ก็ยังเพราะจิตยังยึดถือตัวเองไม่เป็นอิสระจนจัดการกับอวิชชาได้จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก
อนุโมทนาทุกคน จงยังประโยชน์ตนและประโยขน์ผู้อื่นไปเรื่อยๆนะ ดีทำไปไม่มีหยุดแต่ไม่เอา จบแล้วจบ จบแล้ววาง จบกิจภายในกิจภายนอกทำไปเรื่อย ทำเสร็จทุกวินาทีไม่มีค้าง ดุจดั่งกระจกเงา ไม่มีเงาใดค้างในกระจก ไม่มีเงาของไฟใดทำกระจกให้ร้อนได้ฉันใด ขอจิตใจของท่านทั้งหลายสามารถจัดการกับฝุ่นฝ้าที่บดบังกระจกเงา จนสามารถกลับสู่ความเป็นกระจกเงาที่ใสสะอาดซึ่งมีอยู่เดิมแล้วในปัจจุบันชาตินี้ด้วย เทอญ
ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
สวนยินดีธรรม สุราษฎร์ธานี