มาวาดรูปกัน

4 มี.ค. 55 / 1374 อ่าน

ในชั้นเรียนศิลปะ เมื่อทุกคนได้กระดาษและสี แต่ละคนจะวาดอะไรหรือ? ตอบยากแต่ทุกคนจะวาดสิ่งที่ตัวเองรู้จัก คุ้นเคยหรือจินตนาการเอา ทุกคนวาดภายใต้กรอบวิธีคิดที่มีอยู่เดิมกันทุกคน จะมีบางส่วนที่ออกได้บ้างแต่นั่นก็ใช้จินตนาการแต่ก็อยู่ภายใต้กรอบความคิดตัวเองอยู่ดี หากทุกคนฟังเรื่องราวจากครูพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน นักเรียนจะสามารถจินตนาการภายใต้ความคิดใหม่ที่ได้ยินได้ฟังมาจากครู ซึ่งนั้นจะทำให้นักเรียนพ้นจากกรอบของตนเองออกมาได้ วันนี้ถ้าอยู่ๆก็มีคนบอกให้"รู้กาย รู้ใจเอาไว้นะ" โดยไม่รู้อะไรเลยว่าวัตถุประสงค์คืออะไร คิดว่าคนๆนั้นจะบรรลุธรรมได้ไหมในวันข้างหน้า เพราะเขาไม่รู้เลยว่านั่นเขาใช้"กู"เข้าไปรู้ สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นของกู รู้โกรธ ก็โกรธว่าทำไมโกรธจึงไม่ดับ รู้แล้วดับก็ว่ากูเก่ง ทำไปทำมา วนไปเวียนมากทุกข์ไม่มีอะไรเหมือน ชักสงสัยว่าทำไมยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งทุกข์ นี่ล่ะคือความจำเป็นอย่างยิ่งของสุตมยปัญญา ทำไมพระพุทธเจ้าจึงแนะนำให้ฟังผู้ถึงอริยสัจ เพราะเขาจะได้ยินสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ได้มุมมองในมุมที่คนธรรมดาไม่เคยเห็น เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ต้อง Positive Thinking เพราะมีมุมเดียวจึงไม่มี Negative Positive นี่จึงเป็นแนวทางที่จิตของผู้ฟังจะพลิกไปเห็นมุมที่เป็นสัมมาทิฎฐิได้ หลังจากนั้นจะสามารถเข้ามาสังเกตที่ตนเองได้อย่างถูกต้อง ผู้ที่มีปัญญาสั่งสมมาดี มีอยู่ อาจจะทำเพียงเท่านั้นก็รู้แจ้งขึ้นมาเองได้โดยลำดับ แต่สำหรับผู้ที่ต้องอาศัยการสั่งสมปัญญาเพื่อให้เห็นแจ้งขึ้นมา นั่นต้องอาศัยปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย รู้กายรู้ใจไปทำไม? ก็เพราะเราไปเห็นว่ากายเป็นของเรา ใจเป็นเรานะซิ แล้วจะทำอย่างไรให้เห็นความจริงนี้ ก็ต้องสังเกตด้วยใจตั้งมั่นเห็นแล้ววาง ไม่ถือไว้เพราะมันจะก่อตัวเป็นภพ วันหนึ่งจะเห็นว่ากายใจนี้เป็นเพียงรูปนามจากการสังเกต วันข้างหน้าจะปล่อยวางสลัดคืนความยึดถือลงได้ จะทำอย่างไรจึงเห็นมันเป็นรูปนามได้ ต้องสังเกตจากคุณสมบัติของรูปนามซึ่งมีลักษณะเหมือนกันในทุกรูปนามคือ มีลักษณะไม่เที่ยง สิ่งไม่เที่ยงเป็นทุกข์บีบคั้น เพราะมันมาจากเหตุปัจจัย ตัวมันจึงเป็นผลแล้วตัวผลเองเพียงแว้บเดียวก็จะกลายเป็นเหตุปัจจัยของสิ่งอื่นๆอีก นั่นจึงไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย เห็นแจ้งอย่างนี้จึงจะสลัดคืนได้ ถ้าไม่มีปัญญาการตรัสรู้มาช่วยนำทางบ้างคิดหรือว่าเราจะหลุดพ้นได้ เพราะการหลุดพ้นนั้นยากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งตรงที่ว่า เราไม่ได้มาคิดหรือทำความเห็นให้เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่เราต้องปฏิบัติภาวนาจนเห็นแจ้งที่ตนเอง ซึ่งนั่นจะทำให้เราเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่รู้แจ้งขึ้นมาที่เรานั้น มีผู้ตรัสรู้ไปก่อนหน้าแล้ว เมื่อถึงวันนั้นจึงหมดความลังเลสงสัยใน พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เพราะใครจะต้องมายืนยันอะไรอีก แล้วถึงวันนั้นต้องถามใครไหมว่าฉันถึงรึยัง? วันนี้กินข้าวหรือยัง?...ตอบซิ อิ่มไหม?...ตอบ... ต้องถามใครไหมว่าฉันอิ่มหรือไม่อิ่ม เมื่อมื้อที่แล้ว