พุุทธ คริสต์ อิสลาม ตกนรกเดียวกันไหม?

4 มี.ค. 55 / 1677 อ่าน

ทุกวันนี้ข่าวคราวความรุนแรงเกิดให้เห็นในสื่อไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะการลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากขึ้นจนดูแล้วรู้สึกเศร้าใจกับการกระทำ วันนี้การกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้ายมาจากจิตใจและความเห็นผิดของผู้กระทำ นรกสวรรค์นั้นมิได้เกิดขึ้นมาเพื่อจัดสรรให้สัตว์นรก เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต เทวดา พรหมไปอยู่กัน แต่เพราะสัตว์โลกมีจิตใจในแต่ละขณะแต่ละเวลาในการกระทำกรรมต่างๆแตกต่างกัน เมื่อการรับผลมีจากเจตนาในการกระทำ จึงเกิดสิ่งต่างๆตามมา เมื่อสัตว์โลกมีเจตนาที่มีความคล้ายกันทั้งในส่วนกุศล อกุศล ผลจากการกระทำจึงจัดสรรให้ผู้มีอุปนิสัย อัธยาศัยแบบเดียวกันไปอยู่ด้วยกัน ทั้งๆที่อาจเกี่ยวข้องกันหรืออาจไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม วันนี้คุกมีก่อนคนทำผิดหรือคนทำผิดก่อนจึงมีคุก แล้วแดนต่างๆนั้นถูกแบ่งแยกมาตั้งแต่แรกหรือว่าเพราะมีคดีโทษแบบนั้นแบบนี้จึงได้เกิดรายละเอียดในการแบ่งแยกตามมาภายหลัง คนเหล่านั้นที่ไปอยู่ตามแดนต่างๆรู้จักกันมากก่อนหรือ ถูกฝึกฝนมาหรือนัดหมายตกลงกันกระทำมาก่อนรึเปล่า เพราะแม้แต่กระทำอย่างเดียวกัน บ้างก็มาอยู่ที่นี่ บ้างก็ไปอยู่ที่อื่น บ้างก็ได้รับการผ่อนปรน แล้วก็ไม่มีคดีไหนที่ผู้พิพากษาลำเอียงเพราะผู้กระทำผิดมาจากศาสนานั้นศาสนานี้ เพราะการตัดสินความผิดจากการกระทำและเจตนา กฎของธรรมชาตินั้น เมื่อเข้าใจความเป็นรูปนามจะไม่สงสัยเลยว่า "คนจัดดอกไม้หรือดอกไม้จัดคน" แต่โดยธรรมชาติความเป็นจริงแล้วไม่ต้องมีคนจัด ธรรมชาติจะจัดโดยกฎของธรรมชาติ ซึ่งจะมีผลเป็นอย่างไรนั้น มาจากเหตุที่ผู้นั้นกระทำอย่างสมเหตุสมผล และไม่ได้ขึ้นกับว่าใครชอบหรือไม่ชอบหรืออยากให้เป็นอย่างไร วันนี้เกลือก็คือเกลือ กินเกลือต้องเค็ม เกลือนั้นไม่ว่าจะมาจากทะเลไหน มาจากประเทศอะไร มีคุณสมบัติหลักเดียวกันคือเค็ม การกระทำใดๆไม่ว่าจะทำภายใต้ความเชื่อหรือศาสนาใดหากจิตใจมีโลภะ โทสะ โมหะ ผู้นั้นต้องรับวิบากทั้งสิ้นไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าความเชื่อเขาจะเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย เช่นโลกกลมอยู่อย่างนี้ ใครจะเชื่อว่าโลกแบน โลกเบี้ยว โลกเหลี่ยมก็ตามใจ โลกเขาเป็นของเขาอย่างนี้ล่ะ นี่คือความจริง ความจริงที่เป็นสัจจธรรมไม่เคยเปลี่ยนไปตามความเชื่อของใคร นรก สวรรค์ มนุษย์ไม่ได้มาจากศาสนาไหนใครเป็นคนสร้าง เพราะมีมาก่อนศาสนาใดๆ แม้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สร้างนรกสวรรค์ขึ้นมา นรกสวรรค์ผลแห่งการกระทำเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ซึ่งอิทัปปจยตาปฏิจจสมุปบาทสุตตปาฐะ (สามารถไปโหลดฟังได้ เสียงอ่านคำแปล )ท่านกล่าวเอาไว้ชัดเจนว่าไม่ว่าจะมีตถาคตหรือไม่มีก็ตาม วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้หมุนไปอยู่แล้วไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพระองค์ตรัสรู้จึงนำสิ่งนี้มาบอกสัตว์โลกเพื่อให้ได้เห็นทางออก แต่คำสอนก็จะอยู่ไปได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะมีหนทางอยู่หรือไม่ วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ก็จะยังคงหมุนต่อไป ตราบเท่าที่สัตว์โลกไม่สามารถละเหตุแห่งการเกิดคือตัณหาได้ พัฒนาการของทุกอย่างวันนี้ให้มองอย่างผู้มีธรรมในใจ เพื่อให้พอจะเข้าใจธรรมชาติ ลองมองพัฒนาการของ Facebook วันแรกมีคนไม่กี่คน จากนั้นเริ่มมีคนเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนมีความมุ่งหมายแตกต่างกันมีลักษณะต่างกัน บางคนอยากเป็นเพื่อนกับอีกคนเขารับบ้าง ไม่รับบ้าง มีกฎเกณฑ์ถูกสร้างตามมา(อย่านับวันที่ท่านเพิ่งมารู้จักซิ มันมาจากคนแรก) ลองเอาคนทั้งหมดใน Facebook วันนี้มาจัดกลุ่มดูซิ จะได้กลุ่มต่างๆเช่น กลุ่มธรรมะ(อันนี้คงไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรFacebook) กลุ่มชอบกิน ชอบเที่ยว ชอบเม้าท์ ชอบการเมือง กลุ่มมิจฉาชีพฯลฯ คนเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปเพราะกาลนี้ในครั้งแรก แต่เมื่อลักษณะของมนุษย์ที่มี โลภะ โทสะ โมหะเหมือนกัน การกระทำทั้งหลายการกระทำจึงออกมาไม่ต่างกันมากนัก อยู่ในกรอบความคิดเดียวกันภายใต้ประสบการณ์เหมือนกัน มีลักษณะนิสัยการสั่งสมมาหลากหลายภายใต้ความเป็นตัวตนเหมือนกัน เรานึกว่าเราเป็นคนจัดดอกไม้แต่ไม่ใช่หรอก ดอกไม้(กิเลสที่มีต่อดอกไม้)เป็นคนจัดเรา สถานที่ต่างๆและเว็บต่างๆที่แต่ละคนไป แวะเวียน เยี่ยมชม เป็นสมาชิก สุดท้ายจะมีคนลักษณะเดียวกัน อัธยาศัยเดียวกัน ชอบเหมือนๆกัน เว็บไซท์จัดคนหรือคนจัดเว็บไซท์ เพราะความที่อิทับปจยตาปฏิจจสมุปบาทนั้นนั้นหมุนวน เหตุจึงเป็นผลและผลเองก็กลายเป็นเหตุและเหตุก็กลายเป็นผล..เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด (ใครเห็นดังนี้จะเห็นความเป็นอนัตตา เห็นความเป็นเหตุเป็นผล เป็นเหตุเป็นปัจจัย อิทัปจยตา เพราะเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และผลก็จะกลายเป็นเหตุปัจจัยต่อไปอีก เมื่อเป็นเหตุ เหตุก็กลายเป็นผล ผลก็จะกลายเป็นเหตุอีก..ตัวตนไม่มี!!!!!! จะรู้แจ้งรูปนามขึ้นมา เพราะรู้แจ้งในไตรลักษณ์) เพราะความไม่รู้จึงสร้างขันธ์๕ เพราะมีขันธ์๕ก็มีอยาก เพราะมีอยากก็มีภพ มีชาติ มีทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็ไปสร้างสังขารขึ้นมาอีก (มีตาก็มีทุกข์ มีทุกข์ก็ไปสร้างตา เมื่อมีตาก็มีทุกข์...) นรกไปด้วยความชั่ว ไม่ได้ไปเพราะความเชื่อ ใครจะมีศาสนาหรือไม่มีก็ตาม หากเป็นคนดีจิตใจดีงามนั่นก็คือกุศล หากใครทำบาปทำชั่วจิตใจเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลงนั่นก็เป็นอกุศล กุศลส่งผลเป็นกุศล อกุศลส่งผลเป็นอกุศล (แต่ไม่พ้นทุกข์ไปได้นะ) ลองสังเกตในคำจากพระโอษฐ์ให้ดีว่าพระพุทธเจ้าใช้คำว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้บอกภิกษุในศาสนานี้ นั่นคือเมื่ออยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จะไปสู่หนทางพ้นทุกข์ได้เพราะภืกษุกำลังขัดเกลาและเดินตามมรรคอยู่ ไม่ใช่แค่เข้ามาเป็นคนศาสนาพุทธ ดังนั้นศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่มีคำสอนในการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ(ปัญญา ศีล สมาธิ) แจ่มแจ้ง รู้ความจริงจนปล่อยวางจิตได้ นั่นล่ะจึงพ้นทุกข์ทั้งปวง หมดนรกหมดสวรรค์ นั่นจึงจะของจริง พุทธพจน์ ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ สมัยนั้นพระสารีบุตรเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค แม้พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธ พระปุณณะ พระอุบาลี พระอานนท์ พระเทวทัต แต่ละท่านก็เดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลาย ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายเห็นสารีบุตรเดินจงกรมกับภิกษุมากหลายหรือไม่" "เห็นพระเจ้าค่ะ" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเหล่านั้นทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญามาก ท่านทั้งหลายเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังเดินจงกรมกับภืกษุมากหลายหรือไม่" "เห็นพระเจ้าค่ะ" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเหล่านั้นทั้งหลายเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ท่านทั้งหลายเห็นพระมหากัสสปะ...พระอนุรุทธ...พระปุณณะ...พระอุบาลี...พระอานนท์...พระเทวทัต...เดินจงกรมกับภิกษุมากหลายหรือไม่" "เห็นพระเจ้าค่่ะ" "ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ ธุตวาทะ(ผู้กล่าวในทางขัดเกลากิเลสคือสรรเสริญการประพฤติธุดงค์)..เป็นผู้มีทิพยจักษุ..เป็นธรรมกถึก(ผู้แสดงธรรม)..เป็นวินัยธร(ผู้ทรงวินัย)..เป็นผู้สดับตรับฟังมาก..เป็นผู้มีความปรารถนาลามก" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้ากันได้ ย่อมลงกันได้โดยธาตุ ผู้มีอัธยาศัยเลวย่อมเข้ากันได้กับผู้มีอัธยาศัยเลว ผู้มีอัธยาศัยดีงามย่อมเข้ากันได้กับผู้มีอัธยาศัยดีงาม "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! แม้ในอดีตกาลนานไกล สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! แม้ในอนาคตกาลนานไกล สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! แม้ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม" สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ๑๖/๑๘๖ วันนี้เพราะมีอริยมรรคมีองค์๘ สัตว์โลกจึงสามารถออกจากทุกข์ทั้งปวงได้ ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ...เขาพูดถูกแล้ว (กายก็ไปที่ชอบ-คือไปบ่อย จิตก็ไปที่ชอบ-คือเป็นอาจินเกิดบ่อยๆ ถ้าชอบโกรธ ชอบหงุดหงิด ขี้อาฆาตแต่ปากบอกชอบสวรรค์มันจะไปได้ยังไง? เพราะตอนที่เป็นอย่างนั้นมันสร้างเหตุเกิดของสัตว์นรก)