อย่าลงอาบน้ำในคลองแสนแสบ

4 มี.ค. 55 / 1362 อ่าน

ถ้าคนที่บ้านอยู่ริมคลองแสนแสบมาตลอดชีวิต อาบน้ำในคลองแสนแสบมาตั้งแต่เด็ก จะไม่เห็นว่าคลองแสนแสบสกปรก อีกทั้งความเพลิดเพลิน ความคิดเห็นมันเป็นไปในทางให้หลงสุขสนุกสนาน (บางคนอ่านแล้วไม่เชื่อ ไปดูแม่น้ำคงคาซิ ทั้งสกปรกทั้งขยะ ทั้งศพ แต่ยังคงลงไปอาบ อาบไม่พอดื่มเข้าไปอีก แถมยังว่าได้บุญ อย่างนี้ใครพูดเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อเพราะ"ศรัทธา" ตกลงศรัทธานี่ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา) ถ้ามีอัธยาศัยพอจะเข้าใจได้ สิ่งที่ควรทำคือให้ตักน้ำคลองขึ้นมาอาบที่ตลิ่ง โดยให้ตักน้ำคลองขึ้นมาทีละถัง แล้วเอาน้ำสะอาดให้อาบสลับกันไปทีละถัง ท่านคิดว่าคนนั้นจะเห็นอะไร? เข้าใจอะไร?..ใช่ เขาจะค่อยๆสังเกตเห็นว่าน้ำที่เขากินอยู่อาบใช้มาทั้งชีวิต ที่หลงผิดว่ามันดีมันสะอาด จริงๆแล้วไม่ใช่เลย รู้ลมไว้....รู้รึยังว่าทำไมต้องรู้ลมสลับไว้ในชีวิตประจำวัน เพราะไม่อย่างนั้นท่านจะเพลิดเพลินไปกับการว่ายน้ำ ดื่มกินอยู่ในคลองแสนแสบ ใครพูดอย่างไรก็ไม่ฟังไม่เชื่อ ต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง เหมือนการอาบน้ำสลับกันระหว่างน้ำสกปรกกับน้ำสะอาด แล้วการจะรู้ว่าคลองแสนแสบสกปรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหากอยู่ในคลองแสนแสบมาตลอด เมื่อเกิดอกุศลแล้วเข้าไปรู้ ไปอยู่ ไปขลุกอยู่กับอกุศล มันจึงพาจมลงสู่น้ำวนได้ง่ายมาก เพราะคนนั้นไม่รู้จักน้ำสะอาด พระพุทธเจ้าจึงให้ละอกุศลด้วยการเจริญกุศล ซึ่งกุศลที่ง่ายและพระองค์สรรเสริญมากคืออานาปานสติ เมื่อเจริญอานาปานสติแล้วจะรู้จักน้ำสะอาดคืออุเบกขาอารมณ์ เมื่อมีน้ำสะอาดเข้าไปสลับมากพอ จิตจะเห็นเองว่าอารมณ์ใดเป็นกุศล อารมณ์ใดเป็นอกุศล ยิ่งไปกว่านั้นจะไปเห็นการเกิดขึ้นดับไปของอารมณ์และยิ่งไปกว่านั้นการละอกุศลเจริญกุศลจะไปปรับเปลี่ยนนิสัยที่เป็นสัญชาตญาณทำมาด้วยความเคยชินเพราะมีอนุสัยก่อเป็นสันดานให้กลายเป็นภาวิตาญาณ ตองสนองด้วยสติปัญญาแทน..มีแต่ได้กับได้ นกไม่เห็นฟ้า..ปลาไม่เห็นน้ำ..หนอนไม่เห็นขี้..คนว่ายน้ำในคลองแสนแสบไม่เห็นว่ามันสกปรก มีทางเดียวต้องให้เขาขึ้นมาบนฝั่งมองกลับลงไป (นี่คือสัมมาสมาธิ) เจริญสัมมาวายามะ ละน้ำสกปรกที่เคยคุ้น เอาน้ำสะอาดเข้าไปแทน น้ำสกปรกอาบน้ำแล้วก็จบ น้ำสะอาดอาบแล้วก็จบ จะชอบหรือไม่ชอบ ความรู้สึกนั้นก็จบ ไปหลงยึดถือก็เป็นทุกข์ทั้งคู่ เพราะไม่ได้มีตัวตนอะไรจบไปเป็นขณะๆ นี่เป็นสัมมาสติ เพิ่มความสังเกตในรูปนามในขณะที่จิตมีความตั้งมั่น นี้เป็นสัมปชัญญะ เมื่อมีสัมปชัญญะความรู้สึกตัว ด้วยความที่จิตตั้งมั่นจะมีสติระลึกได้เป็นขณะๆว่า กายใจนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา สรรพสิ่งต่างๆในโลกนี้ก็เช่นกันล้วนเป็นรูปนามเพราะมีคุณสมบัติเดียวกันคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเราเลย เพราะมีเราจึงไปยึดมาเป็นของเรา วกกลับไปเกิดเป็นปัญญาเรียกสัมมาทิฏฐิ เมื่อเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิรู้ว่ากายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเราจึงไม่หลงไหลกับน้ำสะอาดที่มาใช้กินอาบแทนน้ำสกปรก แต่ยังใช้กินดื่มอาบต่อไป เมื่อเกิดความเข้าใจก็จะสลายความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ)สลายความยึดถือให้ค่าว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ไม่ดี แต่เห็นเพียงว่าเพราะมีเหตุปัจจัยจึงส่งผลมาเป็นอย่างนั้น ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องไปเปลี่ยนที่เหตุ ผลจะเปลี่ยนเอง หมดเรา หมดเขา หมดความหมายแห่งความเป็นตัวตน ไม่ได้เฝ้าดูน้ำสกปรกขณะที่อยู่ในน้ำสกปรก (เพราะเข้าใจแล้ว ไม่มีวันลงไปอาบน้ำในคลองแสนแสบอีก) ไม่ยึดถือน้ำสะอาด เพียงแต่ใช้ไปๆเพราะสิ่งนี้ดีมีประโยชน์ จึงหมดความยึดถือแต่ไม่ได้หมายความว่าหยุดทำความดี เห็นทุกอย่างรู้ทุกอย่างจากบนฝั่ง ไม่ใช่ยืนดูอยู่ริมตลิ่ง(อุเบกขา แม้อุเบกขาก็ยังปล่อยวาง)และก็ไม่ลงไปดูอยู่ในน้ำคลองด้วย(ขันธ์) พ้นไปจากทั้งน้ำคลองและริมตลิ่ง ไม่มีค่าใดๆทั้งสองอย่าง หมดความยึดถือในกุศล(แต่ทำไม่หยุด)และอกุศล (เลิกทำเด็ดขาด) อยู่เหนือบุญเหนือบาป อยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่อาศัยขันธ์เพื่อรู้ พอแล้วที่จะไปมัวรู้ขันธ์ ว่างจากตัวตนในการรู้เพราะไม่รู้จะรู้อะไรไปทำไมอีก หมดภาระ เป็นสภาพที่อิสระไร้ขอบเขต เป็นธรรมชาติที่แท้จริง จึงไม่ไปก่อภพ ก่อชาติ ก่อขันธ์ใดๆขึ้นอีก พระพุทธเจ้าตรัสเรียกสภาพนี้ว่า "วิมุตติญาณทัสสนะ" เป็นสัมมาญาณและสัมมาวิมุตติ มรรคองค์ที่๙และ๑๐ ซึ่งเกิดเฉพาะในพระอรหันต์เท่านั้น พ้นจากสภาพผู้เกิดสัมมาทิฏฐิ เข้าสู่สุญญตานั่นคือ สภาพ สะอาด สว่าง สงบเย็นเป็นนิพพาน