ตามดู ไม่ตามไป

26 ม.ค. 56 / 1642 อ่าน

ผมได้อ่านพบบทความซึ่งเป็นคำนำในหนังสือ อินทรีสังวร ของวัดนาป่าพง เห็นว่ามีประโยชน์ต่อนักปฏิบัติ เปิดใจให้กว้างแล้วพิจารณาดูจะพบความจริงที่อาจปฏิบัติเอนออกไปจึงทำให้ไม่ก้าวหน้า เพราะไม่ศึกษามรรคให้ดี   มนุษย์เป็นสัตว์ที่สื่อสารกันด้วยระบบภาษาที่ซับซ้อน ทั้งโครงสร้างและความหมาย วจีสังขาร ที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นนั้น มีความวิจิตรเทียบเท่าดุจความละเอียดของจิต ทั้งนี้ เพราะ จิตเป็นตัวสร้างการหมายรูปต่าง ๆ (จิต เป็นเหตุในการเกิดของนามรูป และนามรูปซึ่งจิตสร้างขึ้นนั้น เป็นเหตุในการดํารงอยู่ได้ของจิต) ถ้อยคําหนึ่ง ๆ ในภาษาหนึ่ง ๆ เมื่อนําไปวางไว้ในบริบทต่าง ๆ กัน ก็มีความหมายต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยคําหนึ่งๆ ในบริบทเดียวกัน สามารถถกู เข้าใจต่างกันในความหมายได้ ขึ้นอยู่กับการหมายรู้เฉพาะของจิตผู้รับสาร ซึ่งก็มีอนุสัยในการปรุงแต่งแตกต่างกันไป ความหยาบละเอียดในอารมณ์ อันมีประมาณต่าง ๆ แปรผันไปตามการหมายรู้นั้น ๆ การสื่อความให้เข้าใจตรงกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เรื่องราวในระดับชีวิตประจําวัน แม้ในระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น ในครอบครัวเดียวกันก็ตาม การผิดใจกันที่มีเหตุมาจากการสื่อความหมายที่ไม่ตรง ก็มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ กับกรณีของปรากฏการณ์ทางจิต ซึ่งมีมิติละเอียดปราณีตที่สุดในระบบสังขตธรรม ใครเล่า จะมีความสามารถในการบัญญัติระบบคําพูด ที่ใช้ถ่ายทอดบอกสอนเรื่องจิตน้ี ให้ออกมาได้เป็นหลักมาตรฐานเดียวและใช้สอนเข้าใจตรงกันได้โดยไม่จํากัดกาลเวลา “ดูกายดูใจ” “ดูจิต” “ตามดูตามรู้” ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วลีข้างต้นนั้น ถูกใช้พูดกันทั่วไปเป็นปกติในหมู่นักภาวนา ปกติจนเรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกมองข้ามเพิกเฉย (take for granted) ไป ราวกับว่าใครๆก็รู้กันหมดแล้วเหมือนคําท่ีใช้กันเป็นประจําเช่นกินข้าวอาบน้ำฯ หากพิจารณาให้ดี จะพบจุดสังเกตุ ๒ ข้อ ๑.เมื่อถูกถามลงไปในขั้นตอนโดยละเอียดว่าอะไรอย่างไรเกี่ยวกับดูกายดูใจดูจิตฯ คำตอบท่ีได้ มีความหลากหลายแตกต่างกันไป แต่มีสิ่งท่ีเหมือนกันอย่างหน่ึงคือ ต่างก็อ้างว่ามาจากมหาสติปัฏฐานสูตรซึ่งเป็นทางเอกเป็นคําสอนของพระพุทธเจ้า ๒. ในแง่ของความแตกต่างดังกล่าวนั้น ส่วนมากมักจะบอกกันว่า เป็นเรื่องธรรมดา “แล้วแต่จริต” จะปฏิบัติกันอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ “ไปถึงที่หมายเดียวกัน” เมื่อมาใคร่ครวญดูแล้ว จะพบความแปลกประหลาดซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง คือ ทั้ง ๒ ข้อนั้น เป็นสิ่งที่ถูก take for granted อีกเช่นกัน เสมือนเป็นเรื่องที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า การปฏิบัติที่แตกต่างกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา“แล้วแต่จริต”และ“ไปถึงที่หมายเดียวกัน” โดยละเลยการทําความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจน ว่าอะไรอย่างไรในความแตกต่างนั้น เหตุการณ์ทั้ง๒นี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับอริยสาวกผู้ประกอบพร้อมด้วยโสตาปัตติยังคะ๔ ผู้ถึงซึ่งศรัทธาอย่างไม่หวั่นไหว ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์เป็นอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงการนับว่าเป็นคนของพระพุทธเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว ย่อมที่จะรู้ด้วย อสาธารณญาณ โดยไม่ต้องอาศัยป้จจัยภายนอกจากใครอื่นว่า ธรรมะที่ถูกบัญญัติโดยพระพุทธเจ้านั้น จะมีคุณลักษณะคล้องเกลียวเชื่อมโยงเป็นหน่ึง “ภิกษุทั้งหลาย นับแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปทิเสสนิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่ําสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคําใด ถ้อยคําเหล่าน้ันทั้งหมดย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวท้ังสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย” –อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓. ก่อนพุทธปรินิพพาน ทรงรับสั่งไว้กับพระอานนท์เถระว่า ความสอดคล้องเข้ากันเป็นหนึ่งนี้ ให้ใช้เป็นหลักมาตรฐานในการตรวจสอบว่าอะไรใช่ หรือไม่ใช่พระธรรมวินัย (มหาปเทส ๔) ยิ่งไปกว่านั้น ทรงระบุไว้ด้วยว่า หากรู้แล้วว่าไม่ใช่พระธรรมวินัย ให้เราละทิ้งสิ่งนั้นไปเสีย ความสามารถในการใช้บทพยัญชนะที่มีอรรถะ(ความหมาย) สอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียวนี้ เป็นพุทธวิสัยมิใช่สาวกวิสัยทั้งน้ีเพราะเหตุคือความต่างระดับช้ันกันของบารมีที่สร้างสมมา พระตถาคต สร้างบารมีมาในระดับพุทธภูมิ เพื่อให้ได้มา ซึ่งความเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระสาวก สร้างบารมีในระดับสาวกภูมิ เพื่อให้ได้มา ซึ่งโอกาสในการเป็นสาวกในธรรมวินัยนี้ ที่มาท่ีไปของคำว่า ดูจิต หรือ ตามดูตามรู้ฯ ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนที่จะสืบค้น ตัวสูตรท่ีเป็นพุทธวจน เพื่อใช้ตรวจสอบเทียบเคียงตามหลักมหาปเทส ก็มีอยู่ ใช่หรือไม่ว่า ปัญหาที่แท้จริงทั้งกับในกรณีนี้ และอื่นๆทํานองเดียวกันนี้ คือ ความขี้เกียจ ความมักง่ายของชาวพุทธนั่นเอง ที่ไม่อยากเข้าไปลงทุนลงแรงศึกษาสืบค้นพุทธวจน แล้วไปคาดหวังลมๆแล้งๆ ว่าน่าจะมีใครสักคนหนึ่งหรือสองคนที่มีความสามารถพิเศษคิดค้นย่นย่อหลักธรรมที่พระตถาคตบัญญัติไว้เป็นสวากขาโตแล้วนั้นให้ง่ายสั้นลงกว่าได้ การเชื่อเช่นนี้ เป็นลักษณะความเชื่อของปุถุชนผู้มิได้สดับ - มิได้เห็นพระอริยเจ้า - ไมฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า-ไม่ไดัสดับการแนะนําในธรรมของพระอริยเจ้าจึงไม่ทราบว่า พระสาวกมีภูมิธรรมจํากัดอยู่เพียงแค่เป็นผู้เดินตามมรรคที่พระตถาคตบัญญัติไว้เท่านั้น (มคฺคานุคา จ ภิกฺขเว เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา) ผู้ที่สร้างบารมีมาในระดับสาวกภูมิ ไม่มีความสามารถในการคิดสร้างมรรคขึ้นเอง ไม่เว้นแม้แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ) ก็ตาม พระพุทธเจ้า (อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ) ในฐานะพระศาสดานั้น มีคุณสมบัติเหนือไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้รู้มรรค(มคฺคัญญู) รู้แจ้งในมรรค(มคฺควิทู) และเป็นผู้ฉลาดในมรรค (มคฺคโกวิโท) พระพุทธองค์จึงทรงรับสั่งป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่า สูตรใด ๆ ก็ตามที่แต่งขึ้นใหม่ในภายหลัง แม้จะมีความสละสลวยวิจิตร เป็นของนอกแนว เป็นคํากล่าวของสาวก ให้เราไม่สําคัญตนว่า เป็นสิ่งที่ควรเล่าเรียนศึกษา ในทางกลับกัน คำกล่าวของตถาคต อันมีความหมายลึกซ้ึงนั้น ให้เราสําคัญตนว่าเป็นสิ่งที่ควรเล่าเรียนศึกษาและให้พากันเล่าเรียนศึกษาคําของตถาคตนั้น แล้วให้ไต้ถามทวนถามกันและกันในเรื่องนั้นๆ ว่าพระพุทธเจ้าทรงกล่าวเรื่องนั้นไว้อย่างไร ข้างต้นน้ี คือวิธีการเปิดธรรมที่ถูกปิดด้วยพุทธวจน และชาวพุทธที่มีการศึกษาในลักษณะนี้(ปฏปิ จุ ฺฉาวนิ ีตา ปริสา โน อุกฺกาจิตวินตี า) พระพุทธองค์ทรงเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทอันเลิศ ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นแบ่งฐานที่ตั้งแห่งสติออกเป็น๔ฐานคือ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยแต่ละฐานมีรายละเอียดระบุชัดเจนว่าปฏิบัติอย่างไรขอบเขตแค่ไหน และจบลงอย่างไร ผู้ที่ศึกษาพุทธวจนโดยละเอียดรอบคอบ ย่อมที่จะเข้าใจแง่มุมต่างๆ โดยลึกซ้ึงครบถ้วน และ ย่อมท่ีจะรู้ได้ว่าความแตกต่างในมรรควิธีมีได้ แต่ไม่ใช่มีโดยสะเปะสะปะไร้เงื่อนไขขอบเขต หากแต่มีได้หลากหลายได้ ภายใต้พุทธบัญญัติซึ่งมีลักษณะเชื่อมโยงสอดคล้องเป็นหนึ่ง ผลอานิสงส์มุ่งหมายในที่สุด ก็สามารถเข้าถึงได้ ด้วยวิธีอันหลากหลายภายใต้ความเป็นหนึ่งนี้ ในวาระนี้ จะขอยกหมวดของ จิตตานุปัสสนา คือการตามเห็นในกรณีของจิตขึ้นเป็นตัวอย่าง ปัจจุบันมีผู้ที่ดูจิตหรือดูอาการของจิตโดยใช้คําอธิบายสภาวะของจิตซึ่งบัญญัติขึ้นใหม่เอง แล้วหลงเข้าใจไปว่า การฝึก ตามดูตามรู้สภาวะนั้นๆ ไปเรื่อยๆ คือการเจริญสติ คือการดูจิต หากพิจารณาโดยแยบคายแล้ว คําเรียกอาการของจิต ที่คิดขึ้นใหม่เองทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงการตั้งชื่อเรียกอารมณ์อันมีประมาณต่าง ๆ และการตามเห็นสภาวะนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็คือการฝึกผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอํานาจแห่งความเพลิน (ฝึกจิตให้มีสัญโญคะ) จะด้วยเหตุอย่างไรก็ตามแต่ระบบคําเรียกที่ต่างกันตรงนี้ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากเทียบในระดับความละเอียดของจิตแล้ว องศาทเ่ีบ่ียงเพียงเล็กน้อยณจุดตรงนี้ สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สุดในการปฏิบัติ คืออานิสงส์มุ่งหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นัยยะหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้เราตามเห็นจิต (จิตฺตานปุ สฺสนา) แท้จริงแล้วก็เพื่อ ให้เห็นเหตเุกิดและเสื่อมไปโดยอาศัยการตามเห็น“อาการของจิต”เพียงแค่ ๘ คู่อาการเท่านั้น อินทรียสังวร ๗ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่นั้นเป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ (๑) รู้ชัดซึ่งจิตอันมีราคะ ว่า “จิตมีราคะ” (๒) รู้ชัดซึ่งจิตอันปราศจากราคะ ว่า “จิตปราศจากราคะ” (๓) รู้ชัดซึ่งจิตอันมีโทสะ ว่า “จิตมีโทสะ” (๔) รู้ชัดซึ่งจิตอันปราศจากโทสะ ว่า “จิตปราศจากโทสะ” (๕) รู้ชัดซึ่งจิตอันมีโมหะ ว่า “จิตมีโมหะ” (๖) รู้ชัดซ่ึงจิตอันปราศจากโมหะ ว่า “จิตปราศจากโมหะ” (๗) รู้ชัดซึ่งจิตอันหดหู่ว่า “จิตหดหู่” (๘) รู้ชัดซึ่งจิตอันฟุ้งซ่านว่า “จิตฟุ้งซ่าน” (๙) รูู้ดซ่ึงจิตอันถึงความเป็นจิตใหญ่ว่า “จิตถึงแล้วซึ่งความเป็นจิตใหญ่” (๑๐) รู้ชัดซึ่งจิตอันไม่ถึงความเป็นจิตใหญ่ว่า “จิตไม่ถึงแล้วซึ่งความเป็นจิตใหญ่” (๑๑) รู้ชัดซึ่งจิตอันยังมีจิตอื่นยิ่งกว่าว่า “จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า” (๑๒) รู้ชัดซึ่งจิตอันไม่มีจิตอ่ืนย่ิงกว่าว่า “จิตไม่มีจิตอ่ืนยิ่งกว่า” (๑๓) รู้ชัดซึ่งจิตอันต้ังมั่นว่า “จิตต้ังมั่น” (๑๔) รู้ชัดซึ่งจิตอันไม่ต้ังมั่นว่า “จิตไม่ตั้งมั่น” (๑๕) รู้ชัดซึ่งจิตอันหลุดพ้นแล้วว่า “จิตหลุดพ้นแล้ว” (๑๖) รู้ชัดซ่ึงจิตอันยังไม้หลุดพ้นว่า “จิตยังไม่หลุดพ้น” ด้วยอาการอย่างนี้แล ที่ภิกษุเป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิต (จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ) อันเป็นภายในอยู่บ้าง, ในจิตอันเป็นภายนอกอยู่บ้าง, ในจิตทั้งภายในและภายนอกอยู่บ้าง; และเป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดขึ้นในจิตอยู่บ้าง, เห็นธรรมเป็นเหตุเสื่อมไปในจิตอยู่บ้าง, เห็นธรรมเป็นเหตุทั้งเกิดขึ้นและเสื่อมไปในจิตอยู่บ้าง; ก็แหละสติ(คือความระลึก) ว่า “จิตมีอยู่” ดังนี้ ของเธอนั้น เป็นสติที่เธอดํารงไว้เพียงเพื่อความรู้ เพียงเพื่อความอาศัยระลึก. ที่แท้เธอเป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้ และเธอไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลกน้ี. ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้มีปกติตามเห็นจิตในจิตอยู่ แม้ด้วยอาการอย่างนี้. - มหาสติปัฏฐานสูตร มหาวาร. สํ. ๑๐/๓๓๑/๒๘๙.   จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้ามิได้ให้เราฝึกตามดูตามรู้เรื่องราวในอารมณ์ไปเรื่อยๆ และ การตามดูตามรู้ซึ่งจิต (จิตฺตานุปสฺสนา) จะต้องเป็นไปภายใต้ ๘ คู่อาการนี้เท่านั้น สมมุติสถานการณ์ตัวอย่าง เช่น ในขณะที่เรากําลังโกรธอยู่ ในกรณีนี้ หน้าท่ีของเรา ที่ต้องทําให้ได้ คือ “รู้ชัดซึ่งจิตอันมีโทสะ ว่า จิตมีโทสะ” ไม่ใช่ไปตามดูตามรู้โทสะ (หรือรู้ในอารมณ์ที่จิตผูกติดอยู่) ในจิตอันมีโทสะขณะนั้น ปัญหามีอยู่ว่า โดยธรรมชาติของจิต มันรู้ได้อารมณ์เดียวในเวลาเดียว (one at a time) ในขณะที่เรากําลังโกรธอยู่นั้น เราจึงต้องละความเพลินในอารมณ์ที่ทำให้เราโกรธเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เราจะไมมีทาง “รู้ชัดซึ่งจิตอันมีโทสะ ว่า จิตมีโทสะ” ได้เลย มีผัสสะ จิตรับรู้อารมณ์ มีสติ ละความเพลิน รู้ชัดซ่ึงจิต ในระหว่างขั้นตอนข้างต้น ถ้าเราสามารถเห็นธรรมเป็น เหตุเกิดขึ้นหรือเสื่อมไปในจิตได้ การเห็นตรงนี้ เรียกว่า วิปัสสนา ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ โปรดสังเกตุ สติปัฏฐานสี่ ทุกหมวด จบลงด้วยการเห็นธรรมอันเป็นเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไป ขั้นตอนของสติที่เข้าไปตั้งอาศัยในฐานทั้งสี่ เป็นเพียงบันไดข้ันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่จุดหมาย เมื่อผัสสะถูกต้องแล้วๆ หากเราหลงเพลิน “รู้สึก” ตามไปเรื่อย ๆ นี่คือ อนสุัย (ตามนอน)หากละความเพลินในอารมณ์แล้วมาเห็นจิตโดยอาการ๘คู่ข้างต้นนี่คืออนุปัสสนา(ตามเห็น )และ ถ้ามีการเห็นแจ้งในธรรมเป็นเหตุเกิดขึ้นและเหตุเสื่อมไปในจิต นี่คือ วิปัสสนา (เห็นแจ้ง) ถ้าหากว่า เราไม่สามารถรู้ชัดซึ่งจิตโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๘ คู่ข้างต้นได้ให้ดึงสติ กลับมารู้ที่ฐานคือกาย เช่น อิริยาบถ หรือ ลมหายใจ พลิกกลับเป็นกายานุปัสสนา อย่ามักง่ายไปคิดคำขึ้นใหม่ เพื่อมาเรียกอารมณ์ที่จิตหลงอยู่ในขณะนั้น เพราะนั่นคือจุดเริ่ม ของการเบี่ยงออกนอกมรรควิธี (ไปใช้คําอธิบายอาการของจิตที่นอกแนวจากพุทธบัญญัติ เป็นผลให้หลงเข้า ใจได้ว่า กําลังดูจิต ทั้งๆที่กำลังเพลินอยู่ในอารมณ์ขาดสติ แต่หลงว่ามีสติ) นี้เป็นเพียงตัวอย่างของการตามเห็นในกรณีจิตตานุปัสสนา คือ ใช้จิตเป็นฐานที่ตั้งของสติ ในกรณีของ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา พึงศึกษาในลักษณะเดียวกัน คือปฏิบัติตามพุทธวจนในกรณีนั้นๆให้ถูกต้องครบถ้วนทั้งโดยอรรถะและโดยพยัญชนะ พระพุทธเจ้ามองเห็นธรรมชาติในจิตของหมู่สัตว์ในแบบของผู้ที่สร้างบารมีมาเพื่อบอกสอน การบัญญัติมรรควิธี จึงเป็นพุทธวิสัย หน้าที่ของเราในฐานะพุทธสาวกมีเพียงอย่างเดียว คือ ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติโดยระมัดระวังอย่างที่สุด (มคฺคานุคา จ ภิกฺขเว เอตรหิ สาวกา ฯ) เมื่อเข้าใจความหมายของการตามเห็น(อนุปสฺสนา) และการเห็นแจ้ง (วิปสสฺนา) แล้วทีนี้ จะมีวิธีอย่างไร ที่จะทําให้อัตราส่วน Ratio ของ วิปัสสนา ต่อ อนุปัสสนา มีค่าสูงที่สุด (คือ เน้นการปฏิบัติที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อความลัดสั้นสู่มรรคผล) ตัวแปรหลักที่เป็นกุญแจไขปัญหานี้ คือ สมาธิ ตราบใดที่จิตยังซัดส่ายไปๆมาๆทั้งการอนุปัสสนาก็ดีและการวิปัสสนาก็ดีต่างก็ทําได้ยาก พระพุทธเจ้าจึงทรงรับสั่งว่า ให้เราเจริญสมาธิ เพื่อให้ธรรมทั้งหลายปรากฏตามเป็นจริง ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตต้ังม่ันแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร ? ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความเกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗-๑๘//๒๗. นอกจากนี้แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงแนะนําเป็นกรณีพิเศษ สําหรับกรณีที่จิตตั้งมั่นยาก เช่น คนที่คิดมาก มีเรื่องให้วิตกกังวลมาก ย้ําคิดย้ําทํา คิดอยู่ตลอดเวลา หยุดคิดไม่ได้ หรือ คนที่เป็นhyperactive มีบุคลิกภาพทางจิตแบบ ADHD ซึ่งมีปัญหาในการอยู่นิ่ง ทรงแนะนําวิธีแก้ไขอาการเหล่านี้ โดยการเจริญทําให้มาก ซึ่งอานาปานสติสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกายก็ตาม ความหว่ันไหวโยกโคลงแห่ง จิตก็ตาม ย่อมมีไม่ได้ เพราะการเจริญทําให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ - มหา. สํ. ๑๙/๔๐๐/๑๓๒๕. เมื่อถึงตรงนี้ แม้จะไม่เอ่ยถึง เราก็คงจะเห็นได้ชัดแล้วว่า ความสงบแห่งจิต (สมถะ) นั้น จะต้องดําเนินไปควบคู่ และเกื้อหนุนกับระดับความสามารถในการเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) ซึ่งพระพุทธองค์เองได้ตรัสเน้นยา้ํ ในเรื่องนี้ไว้โดยตรงด้วย ภิกษุท้ังหลาย. ! ธรรมที่ควรกระทําให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอย่างไรเล่า? สมถะ และ วิปัสสนา เหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นธรรมท่ีควรกระทําให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๔/๒๕๔. ธรรมที่ควรกระทําให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง มีสองอย่าง คือ ทั้งสมถะ และวิปัสสนา นั่นหมายความว่า ทั้งสมถะ และวิปัสสนา เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยปัญญาอันยิ่งในการได้มา ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความสามารถในการทําจิตให้ตั่งมั้นได้ บุคคลนั้นมีปัญญาอันยิ่ง ใครก็ตามที่จิตตั้งมั่นแล้วสามารถเห็นแจ้งในธรรมอันเป็นเหตุบุคคลนั้นมีปัญญาอันยิ่ง สําหรับบางคนที่อาจจะเข้าใจความหมายได้ดีกว่า จากตัวอย่างอุปมาเปรียบเทียบ พระพุทธองค์ได้ทรงยกอุปมาเปรียบเทียบไว้ในฌานสูตร ว่าเหมือนกับการฝึกยิงธนู เมื่อพิจารณาแล้ว จะพบว่า มีตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องปรับให้สมดุลย์ เช่น ความนิ่งของกาย วิธีการจับธนู การเล็ง น้ำหนัก และจังหวะในการปล่อยลูกศร อุปมานี้ พอจะทำให้เราเห็นภาพได้ดี ในการเจริญสมถะวิปัสสนา ด้วยปัญญาอันยิ่ง ว่าการเห็นแจ้งในธรรมอันเป็นเหตุนั้น จะต้องอาศัยความสมดุลย์ต่าง ๆ อย่างไรบ้าง หากจะพูดให้ส้ันกระชับท่ีสุด การตามดูไม่ตามไปนี้ แท้จริงแล้ว คือ การไม่ตามไป เพราะเมื่อไม่ตาม (อารมณ์อันมีประมาณต่างๆ) ไป มันก็เหลือแค่การตามดูที่ถูกต้อง หลักการไม่ตามไปนี้ ก็คือ หลักการละนันทิ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับหลักอินทรียสังวร ภิกษุมิคชาละฟังธรรมเรื่องการละนันทิแล้วหลีกจากหมู่ไปอยู่ผู้เดียวก็บรรลุอรหัตผล ความเร็วในการละนันทิ ยังถูกใช้เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติจิตภาวนา (ดูความเชื่อมโยงได้ในเรื่อง อินทรียสังวร, การไม่ประมาท, อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ) คณะผูู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอนอบน้อมสักการะ ต่อ ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จนถึงยุคปัจจุบัน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบทอดพุทธวจน คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว คณะศิษย์พระตถาคต   ชัดเจน..อนุโมทนา   2013-01-26