ในความจริงทุกๆ อย่างในโลกว่างจากตัวตน เชื่อไหม?

3 มี.ค. 54 / 1020 อ่าน

อ่านไป คิดไป ดีแล้ว เข้าใจแล้ว 3 วันลืม ไม่ต้องมาก ที่อ่านผ่านมานั้นจำอะไรได้บ้าง ในข้อคิดเพื่อปัญญานี้ ได้สัก 10%ก็เก่งแล้ว ที่เราจะเข้าถึงคำสอนได้คือ รู้แจ้งที่จิตใจของแต่ละคนเองนะ จะทำอะไร อย่างไร แบบไหน อย่ามัวเถียงกันให้เสียเวลา (จะตายกันอยู่แล้ว) ทำอย่างไรก็ตามที เพราะอ่านกันมามาก ฟังกันมาเยอะถนัดทำแบบไหนก็เชิญ ทำให้เห็นให้ได้ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงทั้งภายนอก ภายใน (รูปธรรม นามธรรม)
  1. ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา
  2. สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นก็พยายามรักษาสภาพแต่ก็ทำไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเหมือนการเดินประคองกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำให้น้ำไม่ กระเพื่อมไม่กระฉอกนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะร่างกาย สิ่งของหรือจิตใจล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน (เห็นภาพน้ำในกะละมังที่กระเพื่อมไหมเมื่อกี๊..นั่นล่ะสังขารการปรุงแต่ง ทำงานไวนะ)
  3. สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ ดับไปเพราะหมดเหตุ (มีเหตุให้ดับหรือเหตุเท่ากับศูนย์) เมื่อเห็นดังนี้จะเห็นเองว่าสิ่งนั้นเป็นอนัตตา
เมื่อเห็นดังนี้ด้วยตัวเองในทุกสรรพ สิ่ง จิตจะคลายความยึดถือ ทำไมจึงเห็นทั้ง 3 อย่างในทุกสรรพสิ่งล่ะ เพราะพระพุทธเจ้าสอนหรือ? เปล่า เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนั้นว่างจากตัวตนอย่างนั้นจริงๆทุกๆอย่างเลย ดูจริงๆก็จะเห็นเอง แต่ถูกยึดถือเพราะความไม่รู้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ นี้คือหนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์ จึงเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ เพราะไปยึดขันธ์ 5 เข้าไป ในความจริงทุกๆอย่างในโลกว่างจากตัวตน เชื่อไหม? ไม่ต้องเชื่อ คนอ่านอยู่ก็ด้วย คนเขียนก็ด้วย (ตอนเขียนถึงตรงนี้ยังเขียนอยู่ แต่ตอนอ่านถึงตรงนี้เขียนเสร็จแล้ว หากเห็นอย่างนี้จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเทวดาจึงเห็นอดีต อนาคต ปัจจุบันอยู่ในเวลา เดียวกัน) พ่อ แม่ ปู่ย่า ป้า น้า อา ต้นไม้หน้าบ้าน ข้างรั้ว ก้อนหิน สุนัขที่เล่นอยู่ที่บ้าน ที่วัด ปลาในน้ำ ไก่ในเล้าฯลฯ แต่คำนี้คนคิดเองว่าสภาพนี้เป็นอย่างไร โดยดูจากคำ แล้วตีความหมายเอาเอง จึงนั่งถกเถียงกันอย่างเสียเวลา ทั้งคนคิดและคนอธิบาย ผู้รู้จึงไม่อธิบาย ที่อธิบายอยู่นี่คงเพราะไม่รู้ ต้นไม้ในบ้านถ้าเพลี้ยกินจนใบร่วง ทุกข์ไหม? ทุกข์ ต้นไม้กทม.ที่ปลูกไว้ข้างทางโดนเพลี้ยกินทุกข์ไหม? ไม่ทุกข์ เพราะไม่ยึดเป็นของเรา ตกลงของกทม.ที่เราไม่ยึดมันอยู่ได้ไหม อยู่ได้ทั้งๆที่เราไม่ได้เข้าไปยึด ต้นไม้บ้านเรา ถ้าเราขายบ้านแล้วมันอยู่ได้ไหม ทั้งๆที่ไม่เป็นของเราแล้ว มันอยู่ของมันได้ไหม ตอนเราอยู่เรารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มัน มันก็อยู่ดีเพราะได้ธาตุอาหาร ถ้าเราไปแล้วมันก็ดิ้นรนอยู่ของมันดิ้นสุดขีดแล้วอยู่ไม่ได้ก็ตายไป ตามธรรมดา มันเคยเป็นของเราตอนไหนหรือ? แล้วกายใจล่ะ ถ้าไม่ยึดเป็นของเรา เวลาปวดฉี่เราต้องสั่งไหมให้ไปฉี่ เวลาหิวต้องสั่งไหม ให้มันออกแสวงหา ต้องสั่งหายใจไหม เขาทำโดยไม่ต้องมีเจตนาก็ได้ อาจงงสักนิด เพราะเรานึกเสมอว่ามีเรา จึงไม่รู้ว่าความจริงเหตุการณ์มากมายในชีวิต ที่เขาทำโดยไม่มีเรา แต่เรานึกเองว่าเราทำ จึงตีขลุมเป็นเราทำ นั่นจึงดูไม่ออก ตกลงไม่ยึดว่าเป็นต้นไม้เรา รดน้ำได้ไหม? ได้ รดเพราะต้นไม้จะได้โต ไม่ได้รดเพราะเป็นต้นไม้เรา เคยซื้อปุ๋ยใส่ต้นไม้ข้างถนนที่ไม่ใช่ของเราไหม? อ่านกันอยู่ไม่ขาดสาย เรารู้จักกันไหม? ทำไมเราทำสิ่งดีๆให้กันโดยไม่รู้จักกัน ท่านไม่ใช่ญาติผม แต่เราปรารถนาดีต่อกันโดยไม่ต้องยึดถือก็ได้ (นับถือกับยึดถือไม่เกี่ยวกัน นับถือโดยไม่ยึดถือ นี่เป็นอิสระ) รู้แจ้งเกิดปัญญาและปล่อยวางได้เมื่อ ไหร่ เมื่อนั้นหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นที่พูดกันว่า ปล่อยวางๆ นั้นมีตั้งแต่ระดับหนูน้อยจนถึงขั้นสุดยอดเลยนะ ทำเถอะทำอะไรได้รีบทำ เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถ้าตายจะไม่ได้ทำอะไรเลย รู้ลมสักทีก็ยังดี (เอาตรงนี้เลย) คนเราเดี๋ยวตายแน่นะ หากตอนตายตายวินาทีที่ 60 วินาทีที่ 59 จะบอกได้ว่าเดี๋ยวตายแน่ ตอนวินาทีที่ 59 อาจยังไม่รู้เลยนะว่าอีกวินาทีเดียวเราจะตายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราอยู่วินาทีที่ 59 รึเปล่านะ เราจะทำกุศล ไม่ทำอกุศลทั้งภายนอกและภายในใจทุกๆ วินาทีนะ