ประวัติ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

 

ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาธรรม :

เป็นนักธุรกิจเรียนจบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2523 จากนั้นทำธุรกิจนำเข้า และอสังหาริมทรัพย์ จนปี 2539 ยุค IMF เศรษฐกิจเกิดการผันผวนอย่างรุนแรงธุรกิจที่ ทำจึงล้มลง มีความทุกข์มาก จากภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว คุณแม่ยินดีจึงแนะนำให้เข้า ปฏิบัติธรรม

 

เมื่อเข้าปฏิบัติธรรม :

ในการปฏิบัติธรรมครั้งแรก เมื่อปี 2540 เมื่อจิตเกิดเป็นสมาธิตั้งมั่นเริ่มค่อยๆ เกิด สภาพธรรมต่างๆ ขึ้นมาโดยลำดับทำให้เกิดข้อสงสัยว่าสิ่งที่เราเห็นกับสิ่งที่เราเป็นอยู่มัน อย่างไรกันแน่ จนวันหนึ่งในระหว่างการปฏิบัติ ขณะก้มกราบพระพุทธรูป วินาทีที่ยกตัว ขึ้นมา เกิดความคิดแว้บขึ้นมาว่า

 "ความทุกข์...หายไปไหน?"

ซึ่งแน่นอน ในวินาทีนั้นความทุกข์ไม่มี ตลอดเวลาของคนที่มีความทุกข์จะรู้สึกว่าตัวเองทุกข์ตลอดเวลา แต่เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงเห็นทุกข์เองเป็น ของเกิดๆ ดับๆ บางขณะมี บางขณะไม่มี

ความคิดต่อมาที่ดังขึ้นในใจ "ถ้าความทุกข์มาจากหนี้สิน หนี้สินยังไม่ลดลงเลยนี่ แล้วทุกข์ดับหายไปได้ยังไง ??!!??"

"หรือความทุกข์ไม่ได้มาจากหนี้สิน ?!?!?!"

และคำสุดท้ายที่ผุดดังขึ้นมาในใจก็คือ "หรือว่าทุกข์ มาจากเราทำเอง??" 

 

แต่คำๆ นั้นได้สร้างความสงสัยและค้างคาอยู่ในใจโดยวันนั้นไม่เข้าใจว่าคำถามที่ดังขึ้น ในใจนั้นคืออะไร แต่ข้อสงสัยนั้นได้กลายเป็นคำถามชี้นำให้เดินทางหาคำตอบด้วยการ เข้าสู่การปฏิบัติธรรมต่อมา

การปฏิบัติธรรมดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา จากปี 40 จนถึงปี 49 จึงตัดสินใจเข้าไปบวช ด้วยความสับสนในการดำเนินชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์ เมื่อการปฏิบัติธรรมเดินคู่ขนาน ไปกับความทุกข์ในชีวิต คำหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยและเป็นคำถามภายในใจให้ตัดสินใจบวช ก็คือ "หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ยังมีอยู่จริงๆหรือ? พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?" จึงตัดสินใจบวชในโครงการของ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ที่จัดที่ ศูนย์๒ ปทุมธานี โดยมีพระอาจารย์นวลจันทร์เป็นวิปัสสนาจารย์

 

เมื่อเข้าสู่การบวช :

ก็ตั้งใจปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง ด้วยความที่เคยเห็นพระในพุทธศาสนา ไม่ตั้งใจบ้าง ไม่ประพฤติอยู่ในธรรมวินัยบ้าง เป็นข่าวคราวมากมายในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มี จึงคิดว่า ถ้าเราอยากให้พระในพระพุทธศาสนาเป็นยังไง ก็ควรทำที่ตัวเองนี่ล่ะ อย่ามัวแต่ไปว่า ใครๆ เลย

เมื่อปฏิบัติจนเกิดความเข้าใจในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับหนึ่ง เป็นที่มาของ การบันทึกในหนังสือ "ดูจิตหนึ่งพรรษา" กลายเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่งของสำนักพิมพ์ อัมรินทร์ในช่วงเวลานั้น แต่สุดท้ายก็ต้องลาสิกขาหลังจากบวชไปได้ 7 เดือนเพราะคดีขึ้น สู่ศาล รอการตัดสิน

 

หลังจากนั้นจนปัจจุบัน :

แม้จะเกิดความเข้าใจภายหลังจากที่เข้าไปบวชแล้วก็ตาม แต่ความสงสัยในแนวทางและ วิธีการปฏิบัติในแต่ละสำนัก แต่ละครูบาอาจารย์ซึ่งสร้างรูปแบบกันหลากหลายมากมาย ยังคงมีอยู่ในใจ จึงนำมาสู่คำถามในใจว่า "สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าสอนยังไง?" จึงเริ่มกลับไปสู่การอ่านพระไตรปิฎกเพื่อจะไปหาคำสอนแท้ๆ ที่พระองค์ตรัสเอาไว้ เมื่อเข้าใจว่าจริงๆ แล้วว่าการเดินทางและจุดหมายปลายทางคืออะไร  จึงเริ่มเดินทางสู่เป้า หมายนั้นและปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์บอกสอนเพียงอย่างเดียว ในช่วงเวลานั้นได้ พบกับหลวงพ่อเอี้ยน ท่านเป็นศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาส หลักการปฏิบัติและวิธีการนั้น เดินตามแนวทางแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงได้มอบตัวเป็นศิษย์ ดูแลอุปัฏฐาก นิมนต์ท่าน ออกมาโปรดผู้คนทั้งหลายตามกาลที่เหมาะสม

 

การทำหน้าเผยแผ่ประกาศธรรมคำสอน รวมถึงหลักการ :

วิธีการให้ผู้ที่มีความทุกข์และผู้ที่สนใจในการปฏิบัติได้เข้าใจและมั่นใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้และพระองค์นำมาประกาศให้โลกได้รับรู้ โดยสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นที่ตัวของผู้ ปฏิบัติเอง ด้วยการใช้สื่อการสอนเป็นหลัก เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง ด้วยอริยมรรคมีองค์๘ อันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์จนเกิดความเข้าใจและเข้าถึงความ จริงแห่งอริยสัจ๔ ด้วยการเกิดปัญญาประจักษ์แจ้งขึ้นในผู้คนเหล่านั้นเอง

 

เกิดปัญญาเข้าใจ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ :

เมื่อเห็นว่า ทุกข์ทั้งหลายไม่ได้เกิดขึ้นเอง ดังนั้นการจะดับทุกข์จึงไม่ใช่การไปจัดการที่ตัว ทุกข์ แต่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีเหตุและเหตุจริงๆ กลับไม่ใช่คน สัตว์ สิ่งของ สิ่งแวดล้อมที่ มาทำให้เราเป็นทุกข์ แต่มาจากความไม่รู้ที่เข้าไปหลงยึดถือ จนก่อความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา เริ่มที่เป็นอัตตา เป็นเรา จนสิ่งทั้งปวงเป็นของเรา และก่อความเป็นเขา เป็นของเขา    เข้าสู่ความรู้สึกเป็นวงกรอบ ครอบงำมืดมิดดั่งเช่นฝาชีปิดบังแสงสว่างไม่ให้จิตได้พบความ จริงอีก หลงโง่อยู่ภายใตัความรู้สึกเป็นอัตตาตัวตนปลอมๆ ขึ้นมา จนก่อเป็นโลกของตนขึ้น ในใจ ยึดมั่นเหนียวแน่น เป็นจริงเป็นจังกับโลกปลอมๆ ที่หลงสร้างปรุงแต่งนั้น สร้างเหตุ สร้างผลขึ้นมาปกป้องความเป็นตัวตนนั้นขึ้นมา หลงวนจนไม่มีทางเห็นว่าอยู่ในกรอบครอบตัวเอง ก่อทุกข์สารพัดขึ้นมาในใจตนเอง เพราะความหลงด้วยความไม่รู้ จึงเข้าไปยึดถือทุกระดับ

นั่นเองเป็นเหตุ (สมุทัย) ก่อให้มีทุกข์เป็นผล โดยความจริงแล้วโลกภายนอกไม่ว่าสัตว์ บุคคล สิ่งของที่แวดล้อมล้วนเป็นธรรมชาติของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เพราะไปก่อใจและสร้างโลกปลอมๆชั่วขณะขึ้นมา ทุกข์จึงเกิดขึ้นในโลกนั้นนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อผู้ใดเดินตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ การก่อขึ้นแห่งความเห็นผิดจะถูกทำลายไปทีละระดับจนความเห็นผิดลดลงเนื่องจากอำนาจแห่งกิเลสเบาบางลง ในขณะเดียวกันก็เกิดเป็นความรู้แจ้งขึ้นมาตามลำดับเช่นกัน เพราะความเห็นผิดค่อยๆ จางคลาย และหมดไป จึงเกิดเป็นนิโรธ สว่างไสวรู้แจ้งขึ้นตามลำดับ เห็นโลกตามความเป็นจริง ดับ โลกคู่ขนานในใจทิ้งไป จนเกิดความรู้สึกขึ้นว่า สรรพสิ่งในโลกทั้งภายใน ภายนอกมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มีเหตุปัจจัยให้เกิดก็เกิดหมดเหตุก็ดับไปแม้ทั้งเหตุในแต่ละขณะก็มากมายก่ายกองเหนือการควบคุมได้ ผลของมันก็หลากหลายเหลือประมาณเกินกว่าจะ คาดเดา 

ผลทั้งหลายเพียงมาจากเหตุ จิตจึงละวางความยึดถือ เพราะเห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอะไรอย่างที่เคยเห็นผิดมาก่อน ส่งผลให้ความเห็นผิดหมดไปเกิดความ รู้แจ้งว่า ทุกอย่างเป็นเพียง "ธรรม" รวมถึงความเห็นผิดที่เข้าไปยึดถือจนก่อความเป็น "เรา" เมื่อไปก่อความรู้สึกนี้ขึ้นมา ทุกข์จึงมีที่ตั้งอาศัยหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อความไม่รู้ หลงไปยึดถือ จึงก่ออัตตาตัวตนขึ้นมาเป็นเจ้าของธรรมชาติแห่งรูปและธรรมชาติแห่งนาม ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยหืออือไปกับความหลงผิดนั้นด้วยกับเราเลยแม้สักวินาที เดียว นั่นแปลว่าคนทั้งโลกขี้ตู่และบ้าไปเองทั้งสิ้น ที่เข้าไปยึดถือของที่ว่างจากตัวตน ปราศจากเจ้าของ เป็นอนัตตา เมื่อเห็นอย่างแจ่มแจ้งหมดข้อสงสัยในโลกในจักรวาลนี้ จิตจะสลัดคืนสู่ธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นธรรมชาติเดียวกันทั้งหมด ไร้ขีดคั่นสลาย สู่การหยุด สงบศานติ คือ สุญญตาหรือนิพพาน

จากวันแรกที่เข้าสู่การปฏิบัติแล้วสงสัยว่า "หรือว่าทุกข์มาจากเราทำเอง?" เมื่อมาถึงวันนี้จึงตอบคำถามนี้ได้เองว่า "ถูกแล้ว.. เพราะไปหลงสร้าง"เรา" ขึ้นมานั่นล่ะ ทุกข์ทั้งมวลจึงตามกันมา ในโลกปลอมๆในใจของสัตว์โลกทั้งหมดที่มีความรู้สึกเป็น "เรา" ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อย มั่งมีหรือยากจน หรือนับถือศาสนาใด จะเป็นนักบวชหรือปุถุชน หากไม่เดินอยู่ในหนทางอันประเสริฐนี้ เขาไม่มีวันที่จะออก จากทุกข์ได้เลย

 

ผลงาน :

การสร้างศาสนสถาน

- ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม สวนยินดีธรรม สุราษฎรธานี เมื่อปี 2551

- ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม สวนยินดีทะเล สิชล นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2556

- ก่อตั้ง ธุดงคสถาน มัคคานุคาวิเวก ก.พะลวย สุราษฎรธานี เมื่อปี 2560

การสร้างศาสนบุคคล

- จัดอบรมการปฏิบัติในแนวทางแห่ง อริมรรคมีองค์๘ ตามศูนย์ปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ

- มัคคานุคา เบื้องต้น สำหรับผู้เริ่มต้น

- มัคคานุคา พื้นฐาน สำหรับ ผู้ปฏิบัติธรรม

- มัคคานุคาเข้ม สำหรับผู้ต้องการเดินทางสู่ความหลุดพ้น

- โครงการมัคค์น้อย นำเด็กประถม-มัธยม เข้าสู่หนทางปฏิบัติและปลูก สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่เด็ก

โครงการ...

- โครงการ อุบาสิกาใจพระ เพื่อให้ผู้หญิงมีโอกาสได้บวชและใช้ชีวิตเยี่ยงพระในระหว่าง เข้าพรรษาของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2557

- โครงการตาใน เปิดการบรรยายให้นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศร่วมกับยุวพุทธฯและ สสส. 

 

การสร้างศาสนธรรม

- ถวาย ตู้พระธรรม ให้วัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับความเดือดร้อนจาก สถานการณ์ความไม่สงบ ได้มีธรรมในรูปแบบดิจิตอล MP3 โดยรวบรวมคำสอนของ พระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์มากมายไว้ในตู้

การปกป้องรักษาพุทธศาสนาเพื่อให้อริยมรรคยังคงอยู่...

- จัดให้มีการทอดกฐินให้วัดที่ไม่ได้รับกฐิน ที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะรับกฐินไม่ได้ เนื่องจากมีพระจำพรรษาไม่ครบ 5รูป ทุกปีตั้งแต่ปี 2557 ประมาณ 50 วัด/ปี

- ฟื้นฟูพุทธศาสนาในบังคลาเทศ โดยสร้างศาสนสถานขึ้นมาใหม่ทุกปี สร้างพระพุทธรูป ส่งไปจากประเทศไทย สร้างศาสนบุคคล จัดให้มีการบวชอย่างต่อเนื่อง สร้างศาสนธรรม ให้การสนับสนุนการปลูกฝังลงในพระ ชาวบ้าน นักเรียน ด้วยการขัดปฏิบัติธรรมอย่าง ต่อเนื่องและกิจกรรมสำหรับเยาวชนให้เข้ามาสนใจในพุทธศาสนา

 

งานสังคมสงเคราะห์...

- บริจาคทรัพย์ ช่วยเหลือผู้คนตกระกำลำบากในภัยพิบัติต่างๆ 

- ช่วยเหลือมอบเรือให้มูลนิธิกู้ภัยใช้ช่วยเหลือคน

- สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ตาบอด

- จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และแจกแว่นตาให้ชาวเกาะพะลวย

- อุปถัมภ์ ช่วยเหลือโรงเรียนบ้านเกาะพะลวย