คนตาบอด 6พันล้าน กับคนตาดี

3 มี.ค. 54 / 1119 อ่าน

เถียงกันเรื่องดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ คน ตาบอดจะไม่เชื่อว่ามีคนมองเห็น เพราะความเป็นปรกติของความมองไม่เห็นมีอยู่เป็นปรกติ มีคนๆหนึ่งมาพูดให้ฟังเรื่องดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พูดให้ฟังเรื่องสวนดอกไม้และสลัมที่คนตาบอดอยู่ คนตาบอดจะไม่มีวันฟัง ต่อให้คนตาบอดตั้งใจฟัง แต่ต่างก็จะหาเหตุผลสารพัดและสารพัดเหตุผลมาคัดง้างขัดแย้งคำพูดของคนตาดี ที่มาเล่าให้ฟัง คนตา ดีจะพยายามอธิบายให้ฟังอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็พบความจริงว่าคนตาบอดไม่สามารถที่จะปลงใจเชื่อสิ่งนี้ได้ มีวิธีเดียวคือต้องให้คนตาบอดสังเกตและพิสูจน์เอง เพราะหากคนตาบอดพิสูจน์อย่างจริงจัง คนตาบอดย่อมต้องพบความจริงอย่างแน่นอนเพราะว่านั่นคือ สัจจธรรม เพราะ ความจริงมีอยู่ ดวงอาทิตย์มีอยู่ ดวงจันทร์มีอยู่ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์จริงๆแล้วไม่ได้รอให้ใครมาพิสูจน์หรอก ปัณหามันอยู่แค่ว่าคนตาบอดจะเข้าถึงความมีอยู่จริงนี้ได้อย่างไรเท่านั้น มีทางเดียวคนตาบอดต้องเอาจริงเอาจังยืนกลางแจ้งสักเดือนหนึ่งเขาจะสังเกต อะไรบางอย่างได้เอง ดวง อาทิตย์หรือดวงจันทร์ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความเชื่อหรือความเข้าใจผิดของคนตาบ อด หนึ่งในคนตาบอดนั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ที่นึกว่าตัวเองแน่ ตั้งสมมติฐานหาเหตุผลเยอะแยะมาพิสูจน์ความคิดกู คนตาบอดก็จะเชื่อและฟังคนตาบอดนักวิทย์อธิบายอย่างน่าเชื่อถือ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงต่อไป ดวงจันทร์ก็ขึ้นก็ลงตามปรกติ ไม่เคยเกี่ยวข้องใดๆกับสารพัดเหตุผลของคนตาบอด สิ่ง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้บอกสอนล้วนเป็นสัจจธรรมที่ท้า(คนตาบอด)ให้ พิสูจน์ เพราะคนที่เดือดร้อนเพราะต้องทนทุกข์ต่อไปก็คือคนตาบอดนั่นเอง ทั้งๆที่มีผู้ที่มีจักษุมาบอก ไม่ใช่พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ที่พลาดโอกาสที่คนจะรู้จัก แต่คือคนตาบอดเองที่จะพลาดโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เพราะ วันหนึ่งแม้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ยังคงอยู่ต่อไป แต่คำพูดของพระองค์จะไม่มีใครเชื่อ คนตาบอดจะเชื่อคำคนตาบอดด้วยกัน จะไม่มีใครฟังคำของมหาบุรุษผู้มีจักษุเป็นเลิศอีกต่อไป นี้จึงเป็นเหตุเสื่อมแห่งคำสอนก็เพราะคนตาบอดเอง นั่นเป็นกรรมของคนตาบอดแท้ๆ