ทุกขัง ไม่ค่อยรู้จัก

3 มี.ค. 54 / 1268 อ่าน

ในไตรลักษณ์หรือลักษณะ๓ของรูปนามนั้น อนิจจัง-ไม่เที่ยง นี่รู้จักดีที่สุด ทุกขัง-รู้แต่ว่าเป็นทุกข์ แต่เข้าไม่ถึงว่าจริงๆมันจะหมายถึงอะไร อนัตตา-จะแปลว่าไม่มีตัวตน คนก็ไม่เข้าใจ จะบอกว่าไม่ใช่ตัวตนถาวร มันก็เข้าไปไม่ถึงความหมายที่แท้จริงของสภาวธรรม เพราะสภาพอนัตตานั้นเป็นการอธิบายรูปนามที่เกิดดับ (สังขตลักษณะ) จนถึงรอยต่อซึ่ง ทับกันกับ นิพพานหรือสุญญตา (อสังขตลักษณะ) ได้เลย แต่เมื่อพ้นไปก็จากจุดรอยต่อก็เรียกสุญญตา เพื่อให้ไตรลักษณ์ใช้อธิบายรูปนามเกิดดับ   (เอาง่ายๆว่า ดับ>ว่าง>สงบ>เย็น นั้นคือความรู้สึกของการดับนั้นเอง ว่างก็เพราะมันดับมานาน สงบก็เพราะมันว่าง ก็เพราะดับนั่นเอง เย็นเพราะสลัดคืนก็จากดับ โดยสภาพก็อยู่ที่ดับทั้งหมด แต่จุดแรกเป็นอนัตตาธรรม จุดสุดท้ายเปลี่ยนชื่อเมื่อหมดความยึดถือว่า สุญญาตาหรือนิพพาน   วันนี้เราจะมาดูกันแค่เรื่องทุกขัง   เราเข้าใจความทุกข์ เป็นความรู้สึกทุกข์ที่เกิดที่คนเรานั้นเป็นส่วนย่อยในส่วนใหญ่ ที่สมัยเด็กๆ เรียนคณิตศาสตร์เขาเรียก Subset เราจะไปที่ตัวอย่างเลยในการสร้างความเข้าใจ   หากมี เหล็ก ต้นไม้ สุนัข คน พระอรหันต์ ท่านว่า เหล็กเปลี่ยน แปลงทุกวินาทีไหม (เปลี่ยนทุกวินาทีแต่เราดูไม่ออก แต่วันที่มันเริ่มหมอง เริ่มเป็นสนิม เราดูออก ผมยาวทุกวินาทีไหม แต่อยู่ๆวันหนึ่งเราบอกว่า "เออ..ผมยาวแล้วเดี๋ยวไปตัดผมหน่อย")   ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดแต่เราดูไม่ออก จนถึงจุดๆหนึ่ง   เข้าใจตรงกันนะเพราะนี่คือสัจจธรรมความจริงแท้ หากเราเห็นในระดับอณู เราจะเห็นว่าเหล็กพยายามรักษาสภาพสมดุลย์ไว้ด้วยการปลดปล่อยส่วนหนึ่งออก แล้วดึงส่วนอื่นจากสิ่งแวดล้อมเข้าเพราะเหตุปัจจัยที่มากระตุ้นมัน สภาพนี้เป็นสภาพทุกข์ที่ไม่มีวิญญาน เมื่อไม่มีวิญญาณจึงไม่เกิดผู้ทุกข์ เป็นรูปมีนามคั่นอยู่ในระหว่างอะตอม แต่ยังไม่พัฒนาจนเป็นวิญญาณ เหล็กจึงประกอบขึ้นมาด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ตัวมันเป็นสภาพทุกข์ พอเข้าใจนะ   เอาเท่านี้ก่อน มาถึงต้นไม้ ท่านว่าต้นไม้ทุกข์ไหม? (ตอบอะไรก็ตอบเถอะ เพราะตอบตามความคิด"กู"อาจจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ แล้วอะไรจะวัดว่าถูกล่ะ..สัจจธรรม) ต้นไม้หากฝนไม่ตกเลย ต้นไม้จะอยู่ได้ไหม? เมื่อฝนไม่ตกต้นไม้จะพยายามปรับตัวให้มันอยู่รอดในสภาวะนั้นด้วยการผลัดใบออก ลดการระเหยของน้ำ ลดการสังเคราะห์แสง เพื่อใช้น้ำให้น้อยที่สุด หากฝนไม่ตกไปเรื่อยๆ มันจะปรับลงไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่งท ี่ไม่สามารถปรับต่อ ไปได้ด้วยข้อจำกัดทางกายภาพของมัน มันจะยืนต้นตายไป สภาพการปรับตัวนี้เป็นทุกข์ แต่วิญญาณของต้นไม้นั้นชั้นต่ำไม่ได้มีไว้รับรู้ความรู้สึกกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะมันไม่มี มันจึงไม่มีเวทนาคือ ความทุกข์   เพียงแต่มีสภาพทุกข์จากรูปนามของมัน ไม่มีผู้ทุกข์   สุนัข เอาข้างถนนแล้วกันเห็นง่ายหน่อย (ความจริงสุนัขเลี้ยงก็ทุกข์ กินดีก็ทุกข์ เรากินดีอยู่ดีทุกข์ไหมล่ะ?) อยู่อดๆอยากๆมีคนเอาอาหารไปให้ก็ต้องกัดกันแย่งกัน ก็เพราะสภาพความหิวบีบคั้นให้ต้องออกไปดิ้นรนหาอาหารให้ชีวิตอยู่รอด   เอาแค่นี้ก็เห็นแล้ว สภาพหิวบีบคั้นเป็นทุกข์นะ เมื่อบีบคั้นก็แสวงหาอาหารเพื่อความอยู่รอด พอรอดก็ไปวิ่งเล่นต่อ เพราะหมามีวิญญาณรับรู้ เพราะมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเกิดสภาพทุกข์ ใจมันจึงทุกข์ ตรงนี้เกิดมีผู้ทุกข์ขึ้นมาแล้ว เพราะมีวิญญาณและมีอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ   มาดูคนกัน บ้าง หรือจะไปดูกระจกก็ได้ คนวุ่นวายกว่านะ หมากิ่นอิ่มแล้วจบ คนต้องการมากกว่ากิน คนสะสมมากมาย คนสร้างความสะดวกสบายอย่างมาก แล้วตนเองเข้าไปหลงยึด   เมื่อไม่ได้ หรือหมดไป ก็ทุกข์ดิ้นรนทำอย่างอื่นทดแทน คนป่าอยู่ป่ากินของป่า เริ่มสร้างปัจจัย ๔ เริ่มพัฒนาต่อไป เพื่อตอบสนองตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้พิศดารมากขึ้น เมื่อมีเท่านี้ก็จะเอาเท่านั้น   เหมือนการปีนขึ้นตันไม้ซึ่งถึงวันหนึ่งยอดไม้จะหักลงมา เมื่อหักลงมาก็ทุกข์หนัก แต่คนนี่มีธรรมชาติยึดเกาะรวดเร็ว ตกลงมาแรกๆก็เป็นทุกข์อยู่พักหนึ่ง แล้วก็จะปรับสู่สภาพใหม่ ยึดสภาพใหม่อีกหลงสภาพใหม่ ปรับสภาพใหม่เข้าสู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใหม่อยู่พักหนึ่ง ก็จะยึดติด แล้วตัณหาก็เริ่มดันจากจุดใหม่ ให้ทะยานขึ้นต่อ ไป   สภาพนี้เป็นการดิ้นรนตลอดวนไปเวียนมา ไม่ใช่เพียงเพื่อการกินอยู่เท่านั้น แต่ดิ้นรนเพื่อตอบสนองตัณหาความ ทะยานอยาก อย่างไม่มีขีดจำกัด   เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ใจ เมื่อได้ก็ปลดปล่อยทุกข์ไปได้ชั่วขณะ ไปหลงเรียกมันว่า สุข ที่แท้ แค่ทุกข์น้อยลง ก็เหมือนความร้อน ร้อนมาก ก็ว่าร้อน ร้อนน้อยว ่าเย็น ที่แท้ร้อนทั้งนั้น คนจะเกิดเป็นสภาพทุกข์ที่รูปนามกายใจ ดิ้นรนเพื่อรักษาสภาพ กัน เกิดมีผู้ทุกข์  ใจจึงมีการบีบคั้นตลอดเวลา เพราะ เกิดวิญญาณไปรับรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วยึดถือเป็นของเรา จนทวีความรุนแรงขึ้นกายเป็น กู เป็น ของกู เหนียวแน่นมาก   พระอรหันต์ จากการพัฒนาจิตแล้วรู้แจ้งเห็นจริงตามสัจจธรรมด้วยการเจริญมรรค พระอรหันต์มีรูป นามที่เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยในอดีตแบบเดียวกับคน แต่เมื่อท่านเข้าถึงความจริง รู้แจ้งจนถึงที่สุด เกิดการปล่อยความยึดถือ   รูปนามขันธ์๕ที่มีอยู่เท่ากับคนนั้น เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่เมื่อปล่อยความยึดถือไม่เอาจิตมาเป็นเรา วิญญาณการรับรู้ที่มีความเห็นผิดแล้วไปสร้างเวทนาเป็นอารมณ์ ทุกข์จึงไม่ เกิดขึ้นอีก จิตจึงเป็นอิสระเป็นสภาพบริสุทธิ์ ไม่ทุกข์กับสภาพรูปนามขันธ์๕อีก   ขันธ์๕จึงเป็นสภาพทุกข์ตามธรรมชาติของรูปนามเกิดดับ แต่ท่านก็เจ็บปวดจากเวทนาทางกาย แต่ไม่มีผู้ทุกข์อีก แต่ไม่ใช่เหมือนเหล็กหรือต้นไม้นะ นี่จึงเป็นความอัศจรรย์ที่คนไม่สามารถเทียบเคียงได้   เพราะพอบอกวิญญาณดับ คนเลยไปคิดถึงสิ่งไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าหากจะแยกให้เข้าใจระดับของสัจจธรรมความจริง ทุกๆตัวอย่างล้วนมีสภาพทุกข์ของรูปนามที่เรียกว่า ทุกขัง   แต่มีสัตว์และคนที่เกิดมีผู้ทุกข์ ที่เกิดจากความไม่รู ้ไปยึดถือรูปนามนี้ เป็นเราเป็นของเรา ที่เรียกว่าอุปาทานขันธ์ทั้ง๕เป็นตัวทุกข์   ส่วนพระอรหันต์ท่านก็ยังมีขันธ์๕เก่า ที่เป็นวิบากเก่าอยู่ แต่ปล่อยวางความยึดถือทั้งหมดแล้ว ขันธ์ท่านเป็นสภาพทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ แม้นพระพุทธเจ้าท่านก็ยังทรงอาพาธจากโรคภัย จากความหิวกระหาย เป็นทุกข์โดยสภาพ ขันธ์นี้ทุกข์ทนยาก แต่จิตของท่านไม่ทุกข์ ไม่มีผู้ทุกข์กับขันธ์นี้ ไม่ผู้ยึดครองเป็นเจ้าของขันธ์นี้   เมื่อขันธ์ไม่ถูกยึดถือ ก็ไม่เกิดความรู้สึกไปยึดอะไรๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องมาเป็นเจ้าของ ใจจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง   วันนี้พวกเรามีขันธ์ มีผู้ทุกข์เพราะไปยึดขันธ์ หน้าที่ก็ดูแลเขาพอสมควร เมื่อดูแลมากไปจะยึดติดทันที อยู่ด้วยปัญญา   วันนี้โลกได้แสดงให้เห็นชัดขึ้นอีกหน่อยเรื่องของน้ำท่วม ทำให้หลายคนได้เห็นสัจจธรรม มันเป็นสภาพทุกข์ แล้วเราก็ไืปยืดถือทุกอย่างก็เลยเป็นทุกข์ตามไปด้วย   เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ...เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ...เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์ ....เมื่อเป็นทุกข์ก็สร้างรูปนาม ....เมื่อมีรูปนามก็เลยเป็นทุกข์    ไม่คิดจะจบบ้างเลยหรือ? ทั้งสภาพทุกข์ของขันธ์ ๕ ทั้งผู้ทุกข์ที่สร้างขึ้นมา ความลำบากต้องทุกข์หรือ? เมื่อ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีหลักสูตรของนักศึกษาม.หอการค้า ซึ่งมีกิจกรรมจิตอาสาพาไปรพ.เด็ก โดยมี 3 วอร์ดคือ มะเร็ง อายุรกรรม ศัลยกรรม พวกเราได้เตรียมตุ๊กตาข้าวของ ขนม นมไปแจก แต่สิ่งที่เด็กต้องการจริงๆกลับกลายเป็น "เพื่อน" ข้าวของตุ๊กตาของเล่นนั้นก็พอมี แต่"เพื่อน"ไม่มี คนที่จะพูดคุยหรือเล่นด้วยไม่มี เด็กมีตั้งแต่ 2ขวบถึง 10กว่า ทุกคนน่าเห็นใจมาก ต้องให้คีโมตั้งแต่เด็กๆ เป็นมะเร็งผมร่วงตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องมาผ่าตัด เจ็บป่วยกันหนักๆ นักศึกษาไปอยู่นั่งคุย ปลอบใจ นั่งฟังปัญหา พูดคุย เล่นเกม อยู่ 3 ชั่วโมง พอจะกลับเด็กร้องไห้ ถามว่าเมื่อไหร่จะมาหาเขาอีก มันเศร้าจริงๆ เด็กๆลำบาก เขาทุกข์เราทำได้แค่เท่าที่เราไปอยู่เป็นเพื่อนแป๊บๆ ทำจิตอาสาแล้วก็จากมา เด็กๆเหล่านั้นก็ต้องอยู่ต่อไป เราจะมาพูดมามีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ที่ได้ไปทำจิตอาสากันแล้วมีความสุข เอิบอิ่มอย่างไรก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ความจริงในส่วนของเด็กๆเหล่านั้นมัน เหมือนลมเย็นๆที่พัดผ่านเด็กน้อยวูบเดียวแล้วก็หายไป โดยไม่รู้เมื่อไหร่จะมีลมพัดมาอีก... ทุกข์กาย>ทุกข์ใจ เป็นสิ่งเกิดกันมาเป็นอัตโนมัติ กล้บมาจากโรงพยาบาลผมถามนักศึกษาว่า "เด็กๆที่เจ็บป่วย เป็นมะเร็งบ้างเป็นโรคร้ายอย่างอื่นบ้างภาพที่เห็นนั้นเขาทุกข์ไหม? ส่วนมากทุกข์ บางส่วนก็ดูร่าเริงก็มี ผมเปิดคลิปๆหนึ่งที่คนพิการขาขาดแขนขาดแล้วเล่นดนตรีให้นักเรียนโรงเรียน หนึ่งที่อเมริกาฟัง เขามีความสุขร่าเริงมาก (ถ้าใครเคยเข้าคอร์สคงจำได้) ผมถามนักศึกษาว่าถ้าเป็นเรา วันนี้เกิดอะไรขึ้นแล้วขาขาดแขนขาดอย่างที่เห็นนี้จะทุกข์ไหม? ทุกคนบอกว่า "ทุกข์" ผมถามว่าแล้วทำไมเชาไม่ทุกข์ ตกลงความลำบากกายหรือความทุกข์กายนั้นใจต้องทุกข์ด้วยจริงหรือ? ทุกข์อยู่ที่ไหน? นักศึกษาทุกคนตอบว่า "อยู่ที่ใจ" วันนี้พวกเรามีใครขาขาดจากน้ำท่วมไหม? คนพิการในคลิปเขาเคยมาศึกษาอริยมรรคมี องค์๘หรือ? เขาจึงไม่ทุกข์....นี่ยังไม่ต้องถึงระดับปัญญา ศีล สมาธิเลย?เขายังไม่ทุกข์เลย ยังไม่ต้องมาอ้างชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมเลย แค่ความเข้าใจและยอมรับในระดับพื้นๆความทุกข์กายก็ทำอะไรใจเขาไม่ได้แล้ว แล้วเรานักปฏิบัติไม่อายบ้างหรือ? ยายยิ้มกายก็ลำบากแต่ทำไมสุข สุขมันอยู่ที่ไหน? วันนี้ฝืนทวนความเห็นผิดขึ้นมา อดทน สู้ ไม่ย่อท้อ ไม่คร่ำครวญ ทำทุกวินาทีอย่างดีที่สุด เพื่อคนอื่น แล้วเจริญมรรคแทรกเข้าไป ท่านจะเป็นผู้หนึ่งที่จะยืนยันคำสอนของพระศาสนาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ ถึงจะต้องตายไปก็จะไม่มีวันที่จะยอมทำบาปทำอกุศลเด็ดขาด