พุทธศาสนาไทยในทศวรรษหน้า โดยพระไพศาล วิสาโล

4 ก.พ. 55 / 1169 อ่าน

เมื่อ สิบกว่าปีก่อน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ความสนใจปฏิบัติธรรมซึ่งกำลังแพร่หลายในหมู่ชนชั้นกลางเวลานั้นเป็นเพียง แฟชั่นหรือความนิยมชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่มาถึงวันนี้การปฏิบัติธรรมก็ยังได้รับได้รับความนิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังแพร่กระจายไปยังทุกแวดวงของชนชั้นกลาง เช่นเดียวกับความสนใจธรรมะในรูปแบบอื่น อาทิ การฟังธรรม การสวดมนต์ ในขณะที่หนังสือธรรมะกลายเป็นหนังสือขายดี มีหลายเล่มที่ติดอันดับ best seller ส่วนซีดีธรรมะและสื่อธรรมะอื่น ๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อได้ว่า ความตื่นตัวทางธรรมะในหมู่ชนชั้นกลาง ยังเป็นปรากฏการณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของพุทธศาสนาไทยในทศวรรษหน้า การเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมยังคงได้รับความนิยมจนกลายเป็นรูปแบบหลักรูปแบบ หนึ่งของการ “ปฏิบัติศาสนา” ในเมืองไทย หนังสือธรรมะยังคงเป็นหนึ่งในบรรดาหนังสือไม่กี่ประเภทที่ยังเป็นที่นิยม อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามแนวการปฏิบัติธรรมตลอดจน ความเชื่อทางพุทธศาสนาจะมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดตัวอยู่กับแนวทางแบบเถรวาทเท่านั้น หากยังได้รับอิทธิพลจากมหายานและวัชรยานด้วย แม้กระทั่งในฝ่ายเถรวาทเอง ก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น อันเป็นผลจากการตีความและการเน้นหนักที่แตกต่างกันไป มีทั้งที่เน้นการถือศีลอย่างเคร่งครัด การทำสมาธิแนวสมถะ การเจริญวิปัสสนา การเจริญสติ การสวดมนต์หรือการทำบุญตามประเพณี แม้กระทั่งการทำสมาธิภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนา ก็ยังแยกออกเป็นแนวทางต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นควบคู่กับการเติบ ใหญ่ของพุทธศาสนาแบบฆราวาส คือการที่ฆราวาสมีบทบาทมากขึ้นในทางศาสนา รวมถึงการเกิดพุทธศาสนาแบบใหม่ที่มีฆราวาสเป็นแกน แทนที่จะเป็นพระสงฆ์ ดังที่มีกลุ่มฆราวาสจัดอบรมปฏิบัติธรรมกันเองในสถานที่ที่ไม่ใช่วัด โดยมีฆราวาสเป็นผู้นำการปฏิบัติ แม้กระทั่งการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก็จะมีกลุ่มฆราวาสจำนวนมากขึ้นที่ทำกันเองหรือมีฆราวาสเป็นผู้นำ มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้เกิด ปรากฏการณ์ดังกล่าว ประการแรกได้แก่ ความทุกข์ที่รุมเร้า ชนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จในด้านอาชีพการงาน แต่พบว่าความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย กลับมีความทุกข์มากขึ้น ทั้งจากอาชีพการงานและจากความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ย่ำแย่ลง โดยที่เงินก็ไม่สามารถบรรเทาความทุกข์นี้ได้ จึงหันเข้าหาธรรมะ มีคนจำนวนมากที่เอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ทางใจ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในอาชีพการงานหรือประสบเหตุร้ายในชีวิต เช่น เป็นโรคมะเร็ง หรือสูญเสียคนรัก วิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ ได้ผลักดันให้คนจำนวนไม่น้อยหันมาปฏิบัติธรรม แต่ถึงแม้ในอนาคตอาจจะไม่มีวิกฤตเช่นนั้นอีก แต่ระบบเศรษฐกิจสังคมปัจจุบันที่เน้นการแข่งขัน ก็ย่อมส่งผลให้มีคนจำนวนมากกลายเป็นผู้ล้มเหลว ต้องการการเยียวยาทางใจ ยิ่งทศวรรษหน้านอกจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสังคม(และการเมือง)แล้ว ความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้คนหวาดวิตกมีความทุกข์มากขึ้น จนเป็นธรรมดาที่จะเข้าหาธรรมะหรือศาสนาเพื่อความมั่นคงทางใจมากขึ้น ประการที่สอง ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่ถูกเร่งเร้าด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตก ที่ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมไทย ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยโหยหาวัฒนธรรมไทยที่คุ้นเคยในอดีต(หรือที่สร้างภาพ เอาไว้) หรือไม่ก็ปรารถนาที่จะตอกย้ำความเป็นไทยของตน จึงหันมาสนใจพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรม เพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยให้แก่ตนเอง ประการที่สาม ความหลากหลายทางสังคมเศรษฐกิจอันเนื่องจากกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดการแตกตัวทางสังคมอย่างกว้างขวาง ผู้คนไม่เพียงมีอาชีพและวิถีชีวิตที่หลากหลายเท่านั้น หากยังมีรสนิยมและความต้องการที่แตกต่างกันด้วย คนเหล่านี้เมื่อหันมาสนใจพุทธศาสนา ไม่เพียงเลือกรับเอาเฉพาะความเชื่อและแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับจริตของตน เท่านั้น หากยังปรับเปลี่ยนการปฏิบัติและความเชื่อให้ตอบสนองความต้องการของตนเอง รวมทั้งเอาความเชื่อกระแสอื่นมาผสมผสานด้วย ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าพุทธศาสนาที่ผู้คนนับถือและปฏิบัติในทศวรรษหน้าจะมี ความหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม ประการที่สี่ ก็คือ อิทธิพลที่ลดน้อยถอยลงของคณะสงฆ์ นอกจากพระสงฆ์จะจำกัดบทบาททางศาสนาของตนเองจนเหลือแต่พิธีกรรม โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมและชีวิตของฆราวาสน้อยลงแล้ว ความประพฤติที่ไม่น่าเลื่อมใสศรัทธาได้ปรากฏต่อสายตาหรือการรับรู้ของผู้คน มากขึ้น ในขณะที่ผู้นำสงฆ์ก็ไม่สามารถดึงศรัทธาที่ตกไปให้กลับคืนมาได้ ฆราวาสชนชั้นกลางที่สนใจพุทธศาสนาจึงหันไปพึ่งพากันเองมากขึ้น ประกอบกับโอกาสในการศึกษาพุทธศาสนาด้วยตนเองมีมากขึ้น อาทิ พระไตรปิฎกและคัมภีร์สำคัญ ๆ หาอ่านได้ง่ายขึ้น หนังสือ ซีดี เว็บไซต์ และรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับธรรมะ มีมากขึ้น เช่นเดียวกับชั้นเรียนหรือคอร์สปฏิบัติธรรมที่มีฆราวาสเป็นผู้สอน แม้ว่าการปฏิบัติธรรมและความสนใจธรรมะ ในหมู่ชนชั้นกลางจะยังต่อเนื่องหรือเพิ่มขึ้นในทศวรรษหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาไทยจะเจริญงอกงามตามไปด้วย เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวจะยังคงเกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความตกต่ำทางด้านจริยธรรมของคนในสังคม ไม่ว่า ปัญหาอาชญากรรม ทั้งฆ่า ลักขโมย ข่มขืน คอร์รัปชั่น ความรุนแรงในครอบครัว การทอดทิ้งทารก เด็กและคนแก่ รวมทั้งการทำลายสิ่งแวดล้อมและการเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนกัน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความล้มเหลวของการปลูกฝังจริยธรรมเท่านั้น หากยังชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลที่ถดถอยของพุทธศาสนาเมื่อมองในภาพรวมของทั้ง ประเทศ อันที่จริง แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่สนใจพุทธศาสนา ก็มีแนวโน้มว่าการปฏิบัติธรรมหรือการนับถือศาสนาจะมีลักษณะปัจเจกนิยมมาก คือ มุ่งตอบสนองประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจสังคมหรือผู้อื่นเลย หลายคนเข้าหาพุทธศาสนาเพื่อลดความเครียด หรือเพื่อความสงบในจิตใจ จึงไม่สนใจที่จะช่วยเหลืองานส่วนรวมหรือเกื้อกูลผู้อื่น เพราะกลัวว่าจะทำให้จิตใจไม่สงบ จำนวนไม่น้อยเอาจริงเอาจังกับการทำบุญกับพระ เพราะต้องการสะสมบุญเพื่อความมั่งมีศรีสุขในชาตินี้ หรือเพื่อความสุขในชาติหน้า แต่กลับละเลยคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เพราะเข้าใจว่าช่วยคนเหล่านั้นได้บุญน้อยกว่าพระ ยิ่งระยะหลังมีความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างผิด ๆ เช่น เข้าใจว่า หากเราไปช่วยเหลือคนใกล้ตายให้มีชีวิตรอด จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นมาทำร้ายเราแทน หรือมีความคิดว่า การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้อื่น จะทำให้บุญของเราลดลง ความคิดความเชื่อดังกล่าวสวนทางกับคำสอนทางพุทธศาสนา แต่นับวันจะแพร่หลายมากขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในทศวรรษหน้าด้วยเหตุผลที่จะได้กล่าวต่อไป การนับถือพุทธศาสนาแบบปัจเจกนิยม ส่วนหนึ่งเกิดจากการสอนพุทธศาสนาในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิรูปพุทธศาสนาเมื่อร้อยปีก่อน ทำให้มิติทางสังคมของพุทธศาสนาถูกละเลยไป การนับถือพุทธศาสนาหันมาเน้นที่การปฏิบัติเฉพาะตนเท่านั้น (การทำดีกับผู้อื่น หรือการช่วยเหลือส่วนรวมเป็นเรื่องรองและถูกมองข้ามไป) ยิ่งในระยะหลังทัศนคติแบบปัจเจกนิยมแพร่หลายในสังคมไทยมากขึ้น ผ่านระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยม ผู้คนจึงคิดแต่ประโยชน์ส่วนตน เอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ เมื่อหันมาปฏิบัติธรรม จึงกลายเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขเฉพาะตนในระดับพื้นผิว โดยไม่คิดที่จะปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสตัณหาหรือลดความยึดมั่นในอัตตาอย่างแท้ จริง การมีน้ำใจช่วยเหลือส่วนรวมหรือผู้อื่นจึงขาดหายไป และนี้คือเหตุผลข้อหนึ่งที่ว่า ทำไมคนไทยปฏิบัติธรรมกันมากขึ้นแต่ปัญหาสังคมไม่ได้ลดลง ในทำนองเดียวกัน เมื่อการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อการรู้เท่าทันตนเองจนเห็นลึกไปถึง ความยึดติดถือมั่นในตัวตน ดังนั้นจึงง่ายที่จะหลงติดในความดีหรือภาพลักษณ์แห่งความเป็นคนดีของตน ทิฐิมานะจึงเฟื่องฟูมากขึ้น ผลก็คือ ใครที่คิดหรือปฏิบัติต่างจากตน จึงมักถูกมองด้วยสายตาที่เป็นลบ หรือถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ดี นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยจึงสนับสนุนการใช้ความ รุนแรงในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ การปฏิบัติธรรมที่แพร่หลายมากขึ้นจึงไม่ได้หมายความว่าความรุนแรงในสังคมไทย ในทศวรรษหน้าจะลดลง พุทธศาสนาที่นิยมปฏิบัติในทศวรรษหน้า ยังมีลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งก็คือ เป็นคำสอนและแนวปฏิบัติที่กระชับ เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้ไม่ยาก และให้ความมั่นใจว่าจะได้ผลเร็ว ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากวิถีชีวิตและจิตนิสัย (mentality)ของคนสมัยใหม่ที่นิยมความรวดเร็ว เน้นความสะดวก และหวังผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม คำสอนที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ซับซ้อนของโลกสมัยใหม่ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ(จนกลายเป็นตื้นเขิน) และไม่เรียกร้องการเสียสละหรือความยากลำบากจากผู้นับถือมากนัก เช่น เพียงแค่บริจาคเงิน หรือทำใจให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือลดละความเห็นแก่ตัว จะเป็นที่นิยมมาก คำสอนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายกันอย่างหนึ่งคือตอบสนอง (หรือให้ความหวังว่าจะตอบสนอง)ความต้องการแบบโลก ๆ เช่น ความร่ำรวย สถานภาพและเกียรติยศ (ดังมีสำนักหนึ่ง ดึงดูดใจผู้คนด้วยคำขวัญว่า “รอดตาย หายป่วย ร่ำรวย มีชื่อเสียง”) ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความแพร่หลายของลัทธิบริโภคนิยม ที่ไม่เพียงทำให้ศาสนาและธรรมะมีลักษณะเป็นสินค้าที่บริโภคง่ายหาซื้อสะดวก แล้ว ยังหล่อหลอมทัศนคติของผู้คนจนเห็นเงินเป็นอุปกรณ์สำคัญในการบรรลุความสุขและ ความสำเร็จทางโลก ควบคู่กับปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ ความเฟื่องฟูของพุทธพาณิชย์ (หรือที่ถูกคือ “ไสยพาณิชย์”) อันได้แก่การขยายตัวของตลาดวัตถุมงคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งให้ความหวังว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพาก เพียรพยายาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะมาทั้งในรูปของพุทธศาสนาและลัทธิอื่น ๆ หรือปะปนกันจนแยกไม่ออกว่า อะไรคือพุทธ อะไรคือผี อะไรคือพราหมณ์ แม้ “จตุคามรามเทพ”จะเสื่อมความนิยมไปแล้ว แต่ทศวรรษหน้าก็จะยังมีสินค้าตัวใหม่ออกมาเพื่อสร้างความหวังแก่ผู้คนในยาม ที่ต้องการสิ่งปลอบประโลมใจท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรไม่แน่นอนของโลกและ ชีวิต การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะยังคงเป็นกระแสหลักที่สะท้อนถึงความ เข้าใจและการนับถือพุทธศาสนาของคนส่วนใหญ่ แม้ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะสร้างความวิตก กังวลแก่ผู้รู้ด้านพุทธศาสนาที่มองว่า เป็นการสวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่คงยากที่จะเห็นคณะสงฆ์ดำเนินการใด ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะทุกวันนี้คณะสงฆ์อ่อนแอลงมาก และจะอ่อนแอยิ่งกว่านี้ในทศวรรษหน้า เพราะนอกจากจำนวนพระภิกษุสามเณรจะลดน้อยถอยลงอย่างน่าเป็นห่วงแล้ว ความรู้ความเข้าใจในด้านพุทธศาสนาของพระเณรก็มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมถอยลง อันเป็นผลจากความล้มเหลวของการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องหลาย ทศวรรษ โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเลย ใช่แต่เท่านั้นการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์โดยส่วนรวมก็ไม่สามารถสร้าง ศรัทธาให้เกิดแก่ญาติโยมได้ เพราะท่านเองก็ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของบริโภคนิยมมิใช่น้อย จึงไม่สามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและสติปัญญาให้แก่สังคมไทยได้ มิหนำซ้ำยังมีส่วนส่งเสริมให้เกิดไสยพาณิชย์มากขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่องค์กรปกครองคณะสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม มีแนวโน้มที่จะเพิกเฉยอย่างที่เป็นมาแล้วในอดีต อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรื่องอื้อฉาวในวงการสงฆ์เกิดขึ้นอย่างต่อ เนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดมากขึ้น อันเนื่องจากการสูญเสียภาวะผู้นำของมหาเถรสมาคมก็คือ การเกิดสำนัก และ “ลัทธิพิธี”ต่าง ๆ มากมายในคณะสงฆ์ ซึ่งมีการสอนและการปฏิบัติอย่างเป็นอิสระ แตกต่างกันไปคนละทิศละทาง แม้จะขัดกับคำสอนในพุทธศาสนา มหาเถรสมาคมก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้เส้นสายมากมายในองค์กรปกครองสงฆ์ทุกระดับ ซึ่งซ้ำเติมให้คณะสงฆ์ซวดเซเรรวน ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของญาติโยมได้ ในภาวะเช่นนี้สำนักที่จะมีบทบาทอย่างมากในทศวรรษหน้า ก็คือ สำนักวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีการจัดองค์กรที่เข้มแข็ง มีพระในสังกัดถึง ๓,๐๐๐ รูป ซึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้น อีกทั้งยังมีเงินทุนมหาศาลและเครือข่ายทั่วประเทศทั้งในฝ่ายบรรพชิตและ คฤหัสถ์ โดยมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำหลายท่านในมหาเถรสมาคม อิทธิพลทั้งในระดับบน ระดับกลาง และระดับรากหญ้า ของสำนักวัดพระธรรมกาย รวมทั้งการมีสื่อทันสมัยในมือ จะมีผลอย่างมากต่อความคิดความเชื่อและการปฏิบัติของชาวพุทธจำนวนไม่น้อยใน ทศวรรษหน้า ประการสุดท้ายที่ควรกล่าวถึง ก็คือ บทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้หญิง ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ผู้หญิงมีบทบาทในวงการพุทธศาสนามากขึ้น มิใช่ในฐานะผู้อุปถัมภ์พระสงฆ์เท่านั้น หากยังเป็นกำลังสำคัญในแวดวงผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมฝ่ายฆราวาส ทำให้พุทธศาสนายังปรากฏเป็นรูปธรรมในวิถีชีวิตของผู้คนและสังคมสมัยใหม่ ผลสืบเนื่องประการหนึ่งก็คือ การเกิดภิกษุณีและสามเณรีในเมืองไทยเมื่อทศวรรษที่แล้ว แม้ไม่ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์และชาวพุทธจำนวนไม่น้อย แต่เชื่อว่าทศวรรษหน้าจำนวนภิกษุณีจะเพิ่มขึ้น โดยที่คณะสงฆ์ยากที่จะสกัดกั้นได้ และถึงจะพยายามขัดขวางเท่าไร ก็ยากที่จะได้รับความสนับสนุนอย่างเป็นกอบเป็นกำจากชาวพุทธ แม้ว่าภิกษุณีในทศวรรษหน้าคงจะมีไม่มากพอที่จะสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้ ปกครองสงฆ์ เนื่องจากยังไม่มีองค์กรภิกษุณีที่เข้มแข็งเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ก็จะเป็นทางเลือกให้แก่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าภิกษุณีจะเป็น ประเด็นถกเถียงที่สำคัญในทศวรรษหน้า เช่นเดียวกับประเด็นเรื่อง “พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” ซึ่งสืบเนื่องมาจากความเสื่อมทรุดของพุทธศาสนาในเมืองไทย อันมีรากเหง้าอยู่ที่ความอ่อนแอภายในของวงการชาวพุทธเอง แต่ถูกมองว่าเกิดจากภัยคุกคามของศาสนาอื่นและความปล่อยปละละเลยของรัฐบาล ขออนุญาตเผยแพร่โดยกลุ่มมัคคานุคา