นิพพานคือหยุดการปรุงแต่ง อย่าปรุงซ้อนไปซ้อนมา ชีวิตจะสับสน

4 มี.ค. 55 / 1212 อ่าน

หมดความยึดถือเพราะหยุดปรุงแต่ง ยึดถือแล้วเกิดราคะ อ้างว่าอยู่กับราคะโดยไม่ยึดถือ ปลอยวางราคะก็หมดความยึดถือ จึงใช้สิ่งนั้นต่อไปได้..ดูคล้ายจะใช่ หมดความยึดถือเลิกกระทำสิ่งนั้นเพราะเห็นความจริง ปล่อยความยึดถือแต่ไม่ยอมวางสื่อราคะคือกาม มันจะเป็นไปได้อย่างไร   ทำไปทำมาเป็นอัตตาหลงซ้อนไม่รู้ตัว ปกป้องหาเหตุผลก็เพราะตัวตนนั่นแหละ ผู้หมดปรุงแต่งเขาไม่มานั่งสาธยายเหตุผล..กลับสู่ความปรกติ เช่น ชอบเสื้อสีสดใสสดสวย (เกิดการปรุงแต่งแล้ว จึงเกิดเป็นอารมณ์) เพราะชอบจึงซื้อมาใส่ (ปรุงแต่งซ้อนต่อไปหาเหตุผลว่าสีไหนๆ ก็เหมือนกันถ้าไม่ยึดถือก็ไม่ติด..นั่นติดแล้ว) ยิ่งปรุงยิ่งซับซ้อน ตัวตนเริ่มเนียนขึ้นเรื่อยๆ ใครเห็นก็ชมว่าสวย (นั่นเป็นสื่อให้คนอื่นหลงตามไปด้วยแล้วก็ให้ข้อมูลของกูส่งผ่านสู่คนอื่น ให้หลงตามตัวเอง ส่วนตัวเองก็หลงปลื้มไปกับคำชมนั้นซ้อนขึ้นไปอีก ชอบที่จะได้แสดงภูมิว่าข้าปล่อยวาง นี่หรือคนไม่ยึดติด นี่เป็นการสร้างตัวตนซ้ำซ้อนหนักขึ้นอีก) หากว่่าวางความยึดถือจะไม่ซับซ้อนแบบนี้ แค่วางต้นทางก็จบแล้ว ชีวิตไม่สับสน   เอาชัดๆ อีกหน่อย แต่งขาวดำมิดชิดกับกระโปรงสั้นจู๋มันก็เหมือนกันแหละ ไม่ยึดถือมันก็แค่เครื่องแต่งกาย ไปยึดถือให้ค่ามันจึงต่างกัน นี่โมหะมันน่ากลัวตรงนี้..จุด เริ่มต้นการปรุงแต่งมองไม่เห็น กลับไปปรุงซ้ำซ้อนจนสับสน ระวังมันจะกลับไปจุดเริ่มต้นไม่ได้เพราะมีแต่อัตตาปรุงซ้อนไปซ้อนมาให้อาสวะ มันหนักหนาขึ้น กูหาเหตุผลกลบได้ตลอด ของจริงอยู่นอกเหตุเหนือผลเมื่อหมดกู เพราะคนไม่ยึดถือนั้นถ้าหากเขาเลือกได้เขาไม่เลือกสื่อที่กระตุ้นกามมาใช้ หนังสือธรรมะกับหนังสือปลุกใจที่มีภาพวาบหวามก็เหมือนกันถ้าหยุดปรุงแต่ง ถ้าอย่างนั้นแปลกนะ พระโมคคัลลานะจะรังเกียจโสเภณีที่มาเล้าโลมเหมือนเห็นหลุมอุจจาระที่ฝนตกใส่ หรือ หากหยุดปรุงแต่งจริงทุกอย่างจะลงสู่สงบ ว่าง ไม่มีการปรุงรูปนามขึ้นมาเป็นสมมติ ไม่ซับซ้อนกลับไปกลับมา ดับเหตุผลก็ดับ ไม่สร้างเหตุเพิ่มเพราะผลจะเพิ่มไปเรื่อยๆ   สังเกตดูนะ ลูกฟังเพลง mp3 เสียบหูฟัง แม่ก็ฟังธรรมะจาก mp3 พ่อบอกว่า ลูกกับแม่ก็ติดด้วยกันทั้งคู่   เพื่อนเราติดเที่ยว เราติดไปคอร์สปฏิบัติธรรม คนดูบอกว่าติดทั้งคู่ ไม่ดีไปกว่ากัน..จริงเหรอ   คนหนึ่งทำเพื่อเอาใส่ตัวแล้วมีความสุข อีกคนทำให้คนอื่นแล้วมีความสุข เหมือนกันอีกหรือ   คนทั่วไปเสพเมถุน พระไม่เสพเมถุน แล้ว พระก็ไม่เสพเมถุนด้วยจิตว่างด้วย หากมีใครบอกเสพเมถุนด้วยจิตว่างนั่นโกหกเต็มปาก เป็นคำโกหกคำโตด้วยความหลง เพราะเมื่อจิตว่าง ว่างจากปรุงแต่งไม่มีการกระตุ้นรูปนามให้เกิดเป็นอารมณ์ได้ ลองเอาไปเทียบเคียงสิ่งอื่นๆดูบ้าง จะเห็นความแตกต่างที่บางอย่างพอปล่อยความยึดถือแล้วไม่ทำอีกเพราะหายโง่ แต่บางอย่างถึงจะปล่อยวางความยึดถือแล้วก็ยังคงทำอยู่ ถ้าสิ่งนั้นเป็นกามเป็นความกำหนัดย้อมใจเป็นอกุศลเมื่อเกิดปัญญาจะไม่ทำไม่ ใช้มันอีก ส่วนหากสิ่งนั้นเมื่อหมดความยึดถือความปรุงแต่งแล้วยังคงทำยังคงใช้ไป นั่นแหละเป็นสิ่งที่สามารถทำและใช้ต่อไปได้ด้วยปัญญาแท้ เพราะไม่มีผลร้ายตามมาจากความหลง   ทำไมพระพุทธเจ้าให้ละอกุศลแล้วเจริญกุศล ท่านให้วางอกุศล มาอยู่กับกุศล (ติดกุศลดีกว่า ติดอกุศล จากนั้นก็เจริญยิ่งขึ้นอีก) การวางอกุศลคือการไม่ ทำอกุศล ส่วนการวางกุศลนั้นยังคงทำกุศลและยิ่งทำมากขึ้นแต่วางความยึดถือในกุศล นั่นจะพ้นไปจากทุกข์เพราะหมดความยึดถือ   อย่าทำชีวิตให้สับสนซ้ำซ้อน มันจะยิ่งยุ่งยาก ที่มีอยู่ก็ยุงเหยิงอยู่แล้วเพราะสุดท้ายมันจะสะดุดเพราะพันขาตัวเอง