คนตาเหล่

7 มี.ค. 55 / 1297 อ่าน

คนตาเหล่เห็นคนๆเดียวเป็นสองคน ทั้งๆที่คนๆนั้นมีคนเดียว คนตาเหล่ไม่เคยรู้ว่าคนที่ตนเห็นนั้นมีคนเดียว แต่เขากลับคิดว่าภาพสองคนที่เขาเห็นนั้นจริงๆเป็นคนเดียว แต่เขาก็คิดว่าเขาเห็นเป็นภาพเดียว โดยไม่รู้ว่าภาพคนทั้งเงาและตัวจริงมันคือตัวปลอมทั้งคู่ (เราอาจคิดว่ามีตัวจริงอยู่ตัวหนึ่งแต่ตัวจริงก็ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเราซะอีก เงาก็ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเราด้วย จึงเจอแต่ปลอม มีแต่ภาพปลอม)   วันไหนรักษาตาจนหายภาพจะกลับมาเหลือภาพเดียวไม่มีเงา เหลือคนเดียว ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยมีสองคน   วันที่ยังตาเหล่ คนตาเหล่ก็เฝ้าแต่คิดแต่สงสัยไปต่างๆนานาว่าถ้าเหลือคนเดียวคงจะเหงา หมดอารมณ์หมดความสุข หมดสนุกกับชีวิตที่บีบคั้นตื่นเต้น คนตาเหล่มองยังไงก็มองไม่ออก ว่าจะมีคนเห็นเป็นอื่นได้ยังไงเพราะเขายืนยันว่าเห็นอย่างที่เห็นนี่มันดีเหลือเกิน ดีสุดๆ ยึดมั่นในสิ่งที่เห็น ถ้าวันใดที่เขาอยู่คนเดียวอย่างแท้จริง(ไม่ใช่อยู่แบบตัวจริงก็ปลอม ตัวปลอม(เงา)ก็ปลอม) เขาจะเป็นสุขอย่างที่ไม่มีอะไรเหมือน   พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับราธะภิกษุที่ชอบอยู่คนเดียวว่า การอยู่คนเดียวจริงๆมีอยู่ซึ่งอัศจรรย์กว่าการอยู่คนเดียวของเธอ การอยู่คนเดียวของเธอยังเป็นการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง ผู้อยู่คนเดียว คือผู้ไม่ข้องติด อยู่ในธรรมท้ังปวง (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสแก่ภิกษุชื่อเถระ ผู้มีปกติชอบอยู่คนเดียวจนเป็นที่เล่าลือกัน ในหมู่ภิกษุ, ว่า :-) ดูก่อนเถระ ! การอยู่คนเดียวอย่างของเธอ ก็มีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไมมี แต่ว่ายังมีการอยู่คนเดียวที่บริบูรณ์พิสดาร กว่าชนิดของเธอ, เธอจงตั้งใจฟัง ให้ดี เราจักกล่าว. ดูก่อนเถระ ! การอยู่คนเดียวชนิดที่บริบูรณ์พิสดารกว่าชนิดของเธอนั้นเป็นอย่างไรเล่า ? ดูก่อนเถระ ! การอยู่คนเดียวในกรณีน้ีคือสิ่งเป็น อดีตก็ละได้แล้ว สิ่งเป็นอนาคตก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้น ส่วนฉันทราคะในอัตตภาพอันได้แล้วท้ังหลายอันเป็นปัจจุบันก็นำออกแล้วหมดสิ้น. ดูก่อนเถระ ! อย่างนี้แล เป็นการอยู่คนเดียวที่บริบูรณ์ พิสดารกว่าการอยู่ คนเดียวชนิดของเธอ.   (คาถาผนวกท้ายพระสูตร) นรชนผู้มีปัญญาดี ครอบงำอารมณ์ท้ังปวงได้ รู้ธรรมท้ังปวง ไม่ข้องติด อยู่ในธรรมท้ังหลายท้ังสิ้น ละอุปธิท้ังปวง หลุดพ้นพิเศษแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาน้ัน เราเรียกเขาว่าผู้มีปกติอยู่คนเดียว. นิทาน. สํ. ๑๖/๓๒๙-๓๓๐/๗๑๙-๗๒๑.   อยู่อย่างคนตาดีไม่สร้างภาพเงาเชิงซ้อนขึ้นมา เมื่อวิญญาณดับ ท้ายสุดอวิชชาก็หมดอาหารในที่สุด   ....เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี เมื่อไร "เธอ" ไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฎในโลกนี้ ไม่ปรากฎในโลกอื่น ไม่ปรากฎในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ" นี่คือคำที่พระองค์ตรัสกับพาหิยะ   มิติเดียว ไร้เงา ไร้เสียงสะท้อน คนตาเหล่สุดจะไม่มีจินตนาการถึงสิ่งที่เลยจากประสบการณ์การเห็นของตน ว่าพระพุทธองค์ผู้มีจักษุเป็นเลิศหมายถึงอะไร สิ่งที่คนตาเหล่รู้ เห็น หรือคิดนั้น มันเป็นเพียงประสบการณ์อันน้อยนิดภายใต้การเห็นที่ผิดมาตลอด คนตาเหล่คิดอย่างไรก็อยู่ภายใต้ทิฏฐิของคนตาเหล่ นี่เราจึงต้องอาศัยปัญญาการตรัสรู้ของพระองค์นำทาง