บทสัมภาษณ์ อ.ประเสริฐ ในกรุงเทพธุรกิจ

15 มี.ค. 56 / 2021 อ่าน

aaa

อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม พ่อครัว “ธรรม” โดย : ปริญญา ชาวสมุน เรื่องธรรมะ ต้องจี้ให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเกิดที่ตัวเขาจริงๆ ทุกคนอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆ คืออะไร จากหลักธรรมแสนยากซึ่งน้อยคนจะสนใจถ่องแท้ อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม คือผู้ปรุงรสพระพุทธศาสนาให้คนรุ่นใหม่ลิ้มรสได้อย่างเอร็ดอร่อย ด้วยหวังว่ามนุษย์ทุกคนจะพ้นทุกข์ ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ และตาย ชื่อของเขาอาจไม่คุ้นหูคนทั่วไปนัก แต่สำหรับผู้ฝักใฝ่ทางธรรม ชื่อนี้ไม่เพียงแต่คุ้นหู ทว่ายังประทับตรึงในดวงใจอีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้จะหาว่ายกยอปอปั้นกันเกินไปก็ใช่ที่ แต่ด้วยกลวิธีสอนธรรมะอย่างแยบคาย พาให้ต้องพยักหน้าตามเพราะเชื่อถือ บางครั้งถึงกับร้องอ๋อ...! เพราะว่าตรงใจ เข้าใจ และสะท้อนใจได้ในที กายใจมีโอกาสพบปะ อ.ประเสริฐ ณ จีรังเรสซิเดนท์ จ.เชียงใหม่ ด้วยค่าที่ อ.ประเสริฐ ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมและถ่ายทอดคำสอนของพระศาสดาอย่างย่อยง่าย เราจึงได้เห็นกลวิธีเหนือชั้นที่ไม่คิดว่าใครจะทำได้ในยุคสมัยที่ธรรมะกลายเป็นของแสลง เขาเล่าว่าเมื่อก่อนไม่แตกต่างจากคนหนุ่มสาวทั่วไปที่ใช้ชีวิตหลงมัวเมากับความสนุกสนาน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเคารพในพระพุทธศาสนาอย่างมาก กระทั่งได้เริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2540 จนเข้าไปบวชที่ยุวพุทธ จ.ปทุมธานี หลังจากนั้นพอเข้าใจธรรมะพอสมควร ก็ติดตามครูบาอาจารย์ไปเผยแพร่งานวิปัสสนา จนถึงวันนี้เขาเดินทางเหมือนต้นไม้ที่โตแล้วช่วยแผ่กิ่งก้านสาขาเผยแพร่งานพระพุทธศาสนาต่อไป มีผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมเยอะไหม ต่อหลักสูตรมีประมาณ 50 - 70 คน ซึ่งเป็นทั้งคนเชียงใหม่ คนกรุงเทพฯ บางทีก็มีจากต่างจังหวัดอื่นๆ ก็มี แสดงว่าเป็นคนทั่วๆ ไป สมัครเข้ามาได้ทางเว็บไซต์ ปฏิบัติอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่รู้จัก ครั้งแรกคือหลักสูตรพื้นฐานเริ่มจากสื่อธรรมะที่คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายๆ จนกระทั่งเข้าหลักสูตรที่สอง คือ หลักสูตรเข้มเหมาะกับผู้ที่เคยปฏิบัติมาแล้ว และรู้ว่าการปฏิบัติคืออะไร แล้วก็มุ่งไปที่ความพ้นทุกข์จริงๆ บางครั้งนักปฏิบัติที่เราเห็นบางคนต้องการความสุข ต้องการพ้นทุกข์บ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แต่บางคนก็มีเป้าหมายที่ไปไกลกว่านั้น เช่น บางคนเดินตามคำสอนของพระศาสดาเพื่อไปถึงความหลุดพ้น แต่ก็ไม่สามารถออกบวชได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้ผู้หญิงจะเยอะ ถ้าไปดูคอร์สปฏิบัติ 90 เปอร์เซ็นต์จะเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นผู้หญิงมีข้อจำกัดในการปฏิบัติธรรมเกี่ยวกับสถานที่ค่อนข้างเยอะ คือ ผู้หญิงอาจออกไปปลีกวิเวกลำบาก เพราะเรื่องความปลอดภัย แต่ถ้ามีสถานที่ที่ดีทำให้ผู้หญิงมาแล้วรู้สึกสบายใจ ปัญหาหรือความทุกข์ของผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม โอ้...แตกต่างกันเยอะนะครับ มีตั้งแต่คิดฆ่าตัวตาย หรือฆ่าตัวตายแล้วไม่ตายแล้วก็มา พอมาหลังจากนั้น ส่วนมากคือหลุดพ้นจากเรื่องนั้นไป หรือแม้แต่คนที่กำลังจะตายแล้วโทรศัพท์เข้ามา พูดคุยกับเขาทางโทรศัพท์แล้วเขาก็ตายอย่างสงบ คือ กำลังจะตายอย่างสงบ แต่ก็พูดจนเขาเข้าใจ แล้วก็หลับตาแล้วตายไปด้วยรอยยิ้ม เพราะฉะนั้นมีทุกอย่าง ธรรมะนี่...หนทางแห่งการพ้นทุกข์คือหนทางแห่งการพ้นทุกข์จริงๆ คนที่เข้ามาเขาจะได้อย่างที่ต้องการจริงๆ คนที่ต้องการพ้นทุกข์ธรรมดาก็ไม่มีปัญหา ต้องการมีความสุขก็ได้จากตรงนี้ แต่ถ้ามองไปไกลกว่านั้นอย่างคอร์สเข้ม ทุกคนจะปฏิบัติภาวนาตลอดเวลาด้วยตนเอง ไม่ต้องมีใครไปควบคุมอะไร เพราะนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ และเป็นคนรุ่นใหม่ สาวๆ คนทำงานออฟฟิศ จะบอกว่าบางคนเป็นเศรษฐีก็ยังได้ อยู่กรุงเทพฯ แต่ละคนก็ใช้รถพวกบูชาดวงดาวเป็นสรณะ (รถเบนซ์) กันทั้งนั้น แต่พอมาอยู่ตรงนี้ทุกคนก็สลัดคราบพวกนั้นออกหมด สิ่งเหล่านั้นก็มีแค่ไว้ใช้ เขามีเงินเขาก็ใช้ แต่จะใช้อย่างไรให้ไม่ยึดถือไม่ยึดติด เขาก็เข้าใจ มาอยู่ตรงนี้ มานอนเต็นท์ มาใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มาฟังคำสอนที่ถูกต้อง มาปฏิบัติที่ถูกต้อง ความทุกข์หลากหลายครับ หลากหลายมาก บางคนไม่ทุกข์เลย แต่ต้องการหนทางแห่งการพ้นทุกข์ คือ หลุดพ้นไปเลย บางคนมีเงินทอง มีทรัพย์ ไม่มีลูก มีสามีที่รัก บางคนมีครอบครัวที่น่ารักมาก ทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่มีความทุกข์เลย แต่ทุกคนเข้าปฏิบัติอย่างเต็มตัว คือ มุ่งพ้นทุกข์กันเลย วันนี้แนวโน้มของคนรุ่นใหม่ พอเข้าใจธรรมะแล้วมาแบบนี้ทั้งนั้นเลย บางคนถึงขนาดลาออกจากงานแล้วก็ปฏิบัติเลย คนที่ชีวิตวุนวาย มีหลักธรรมหรือแนวคิดอะไร ขอคิดก่อนนะว่าคนอ่านกายใจเขาจะทุกข์อะไร...ผมว่าเราสะกิดใจอะไรบางอย่าง เช่น ความทุกข์ที่เกิดกับเราทุกวันแล้วเราไม่เห็นเลย อย่างเช่นรถติดไฟแดง ทุกคนก็หงุดหงิด กลัวจะไปทำงานไม่ทันอะไรก็แล้วแต่ ในทุกไฟแดงจะมีตัวเลขถอยหลังกลับ ตีว่า 60 ก็แล้วกัน 59, 58 ไปเรื่อยๆ แต่สังเกตไหมว่าคนในรถจะทุกข์ ยิ่งรีบมากก็ยิ่งทุกข์มาก แต่ความทุกข์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไฟแดงให้เป็นไฟเขียวเร็วขึ้น แต่ก็น่าแปลกที่ทุกคนยังทุกข์อยู่กับสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะมาบอก "ฉันไม่อยากทุกข์เลย" แล้วคุณจะทุกข์ทำไมในเมื่อไฟไม่ได้เปลี่ยนเร็วขึ้น ไฟแดงไม่ได้เปลี่ยนเร็วขึ้นตามความอยากหรือไม่อยากของใคร ถ้าวันนี้เราเริ่มเข้าใจจากสิ่งนี้ เราจะเริ่มเข้าใจไปถึงหลายๆ อย่างว่า โลกทุกวันนี้เราทุกข์ฟรีๆ ไปมากมายมหาศาล ทำไมทุกข์แค่นี้เรายังจัดการไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับทุกข์ใหญ่ๆ ที่มันเลยไปจนไฟลุกเหมือนกับไฟฟู่แรกบนไม้ขีด เราไม่เป่า พอมันลุกทั้งหลังเราเอาน้ำแก้วหนึ่งที่เรามีอยู่ไปราด มันดับไม่ได้แล้ว วันนี้เราจะอย่างไรถึงจะรู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร วันนี้เรากลับไม่รู้เลยว่าความทุกข์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร เพราะอะไรรู้ไหมครับ... ...หากนี่เป็นแก้วน้ำร้อน (หยิบแก้วมาหนึ่งใบ) แล้วนี่เป็นแก้วน้ำธรรมดา (หยิบแก้วมาอีกหนึ่งใบ) ผมให้ผู้ปฏิบัติเอานิ้วจุ่มลงไปในน้ำธรรมดา ผมถามว่ารู้สึกอย่างไร ก็จะตอบว่าเฉยๆ หลังจากนั้นผมให้เขาจุ่มไปในน้ำอุ่นเกือบร้อน พอเขาจุ่มลงไปปั๊บ เขาจะบอกว่าร้อนนะ เขาก็จุ่มไปสักพักหนึ่ง ผมก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ ผ่านไปสักสิบนาทีผมถามว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร เขาตอบว่าเฉยๆ ตอนแรกเขาบอกว่าร้อน แต่ยิ่งเวลานานไปมันกลายเป็นเฉยๆ ผมให้อีกคนหนึ่งมาจุ่มน้ำที่เขาบอกว่าเฉยๆ ปรากฏว่าโอ้โห ร้อนจี๋เลย ทำไมคนแรกบอกเฉยๆ ทั้งที่ร้อนจะตาย เพราะวันนี้ทุกคนชินกับความทุกข์ จนไม่รู้แล้วว่าอะไรคือทุกข์ ปัญหาที่ว่าทำไมเวลาเราโกรธเรามีความทุกข์ถึงไม่มีสติรู้สึกตัวกันเลย เพราะเราชินไปกับมัน การที่พวกเขามาเดินจงกรม นั่งสมาธิ เขากำลังจะเปลี่ยนจากน้ำร้อนมาเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ แล้วเชื่อไหมว่าวันแรกทุกคนที่ปฏิบัติจะอึดอัด แล้วจะหงุดหงิดมาก ในช่วงที่คนจุ่มน้ำร้อนแล้วมาจุ่มน้ำธรรมดา ผมให้เขาลอง ทุกคนบอก เย็นเกินไปอาจารย์ กลายเป็นเย็นเกินไป มานั่งสงบๆ เราไม่ได้ให้ทำอะไร นั่งเฉยๆ มีคนเอาข้าวมาเลี้ยงทุกวัน ไม่ต้องทำมาหากิน นั่งเฉยๆ คุณกลับนั่งไม่ได้ คุณกลับมีความทุกข์กับการนั่งเฉยๆ นี่เป็นสัญญาณเตือนภัยแล้วว่าตอนนี้คุณมีปัญหาแล้วนะ ทำไมการอยู่เฉยๆ เงียบๆ มันถึงกลายเป็นทุกข์ แต่เมื่อเขาอยู่ผ่านไปวันที่สามวันที่สี่ เขาจะเริ่มชินกับความปกติ แล้วเมื่อเขากลับไปในโลกอีกครั้งหนึ่ง เขาโดนน้ำอุ่นๆ เขาจะรู้ว่าน้ำนี่อุ่น แต่วันนี้เขาไม่รู้ว่าน้ำอุ่นด้วยซ้ำเพราะเขาอยู่ในน้ำร้อน ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเดินมาหาอาจารย์ เมื่อก่อนศาสนาเป็นฝ่ายตั้งรับ อยู่ในพื้นที่ อยู่ในวัด อยู่ในศูนย์ปฏิบัติ แล้วมีคนสนใจเข้ามาสู่การปฏิบัติ ไม่ยากหรอกถ้าอย่างนี้ ผมได้รับเชิญออกไปให้บรรยายในหน่วยงานที่มีคนไม่สนใจศาสนา ต้องพูดให้พวกเขาฟัง ต้องเข้าไปในองค์กรที่เขาไม่สนใจเลย แต่เปลี่ยนความไม่สนใจใน 15 นาที แล้วกลายเป็นนั่งตั้งตาดูจนกระทั่งจบ หรือแม้แต่หน่วยงานตอนนี้ที่ผู้บริหารหรือเจ้าขององค์กรต้องการให้พนักงานเป็นคนดี เราก็รุกเข้าไป ธรรมะในวันนี้ต้องรุกเข้าไปหา เพราะคนไม่รู้สึก คนไม่เห็นความสำคัญมีมาก ก็เหมือนคนที่เข้ามาในศูนย์ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ทำบาปทำชั่วอยู่แล้ว เขาเดินเข้ามาเอง แต่คนทำบาปทำชั่วอยู่ข้างนอก ถ้าจะช่วยต้องออกไปช่วยคนข้างนอก เพื่อเปลี่ยนให้เขาเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง แล้วสังคมจะสงบเย็นมากขึ้น ที่ว่าต้องรุกไป รุกอย่างมีเทคนิคหรือ ต้องมีครับ เพราะเรามีเวลาสั้นมากที่จะสื่อสารกับเขา ส่วนมาก ทุกองค์กรจัดบรรยายในองค์กรมีเวลาเต็มที่แค่สองสามชั่วโมง นอกจากองค์กรที่สนใจจริงๆ จัดทั้งวัน แต่ส่วนมากแค่สองชั่วโมง ในเวลาสองชั่วโมงจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจว่า "เออจริงนะ...ใช่" ต้องจี้ให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเกิดที่ตัวเขาจริงๆ ทุกคนอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆ คืออะไร ซึ่งวิธีของเรา ถึงเราจะใช้สื่อต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยออกห่างจากพุทธพจน์ แล้วเข้ามาหาสื่อเพื่อให้คนเข้าใจ แต่คำสอนแท้ๆ ยังอยู่ สถานที่มีผลต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ สถานที่มีผลแน่นอนครับ เพราะผู้คนทั่วไปในปัจจุบันเนี่ย คนรุ่นใหม่อยู่กับความสะดวกสบาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีมาตรฐานค่อนข้างสูงมาก ทีนี้ศูนย์ปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เข้าไปใกล้เคียงกับชีวิตเขาบ้าง พูดง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนเราไปวัดป่า แล้วความเป็นอยู่อย่างที่เราเข้าใจ คนรุ่นใหม่จะเข้ายากมาก เพราะ หนึ่ง พอยังไม่เห็นความสำคัญก็รู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าสถานที่พอจะรับได้ เข้ามาก่อนแล้วได้ยิน ได้เห็นประโยชน์ วันข้างหน้าจะไปกางเต็นท์ หรือไปนอนป่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะเห็นประโยชน์แล้ว...พอเข้าใจ อยู่ที่ที่มีความสุขทำไมจะไม่สุข ต่อให้อยู่ในที่ที่ไม่สุขก็ยังสุขได้ ทำไมยุคนี้ต้องใช้เทคนิคมากมาย สาวกในวันนี้กับสาวกในสมัยพุทธกาลมีความยากต่างกัน สาวกในสมัยพุทธกาลยากตรงที่ทุกคนไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย และมีคำสอน ลัทธิต่างๆ เยอะแยะ การที่สาวกออกไปประกาศพระศาสนาเพื่อเข้าใจหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ยากตรงนี้ ที่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ แต่ทุกคนมีทุกข์เป็นพื้นฐานแล้วต้องการหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ จึงจูนหากันไม่ยาก ความต่างกัน 2600 ปี สาวกที่เดินประกาศธรรม มีแต่คนเข้าใจพุทธศาสนาอยู่แล้วในประเทศไทย ความลำบากตรงนั้นไม่มีเลย ทุกคนติดคุกอยู่ แต่พระพุทธเจ้ามาเปิดประตูคุก แต่ 2600 ปีให้หลัง คนในคุกไม่มีใครเดินออก เพราะคุกถูกตกแต่งด้วยจอแอลซีดี คุกมีที่นอนดีๆ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเครื่องอำนวยความสะดวก มีความบันเทิงทุกอย่างอยู่ในคุก นักโทษไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้ เราจะหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ต้องมานั่งอธิบายว่าคุณทุกข์อย่างไร คนก็นั่งงงว่ามันทุกข์ตรงไหน ทำไมต้องออก ทีนี้เหนื่อยเลย สาวกเหนื่อยตรงนี้แหละ สาวกจะไม่สนใจก็ได้นะ แล้วปล่อยให้เขาติดไปเถอะ แต่น่าแปลกที่วันนี้สาวกก็ยังทำหน้าที่กันอย่างสุดเหวี่ยง วันนี้ทำไมคุณยังพอจะรู้สึกเฉยๆ อยู่ รู้ไหมครับ เพราะทุกอย่างมันยังพอจะได้ดั่งใจ ลองทุกอย่างเปลี่ยนไปสิ มีแฟนสักคนแล้วจู่ๆ แฟนไปมีกิ๊ก ดูซิว่าจะยังสุขอยู่ไหม ทุกคนชอบดูหนังเวลามันหักมุม แต่ไม่ชอบเลยเวลาชีวิตหักมุม พอถึงตอนนั้นจะวิ่งหาเลยว่าจะทำอย่างไรดี ถึงตอนนั้นจะเป็นทางของสาวกบ้างล่ะ เขาจะวิ่งมาหาเอง วันนี้ประตูคุกเปิดอยู่ แต่ไม่มีคนออก แล้ววันหนึ่งที่คำสอนของพุทธศาสนาค่อยๆ หายไป พ.ศ.ในปฏิทินจะหายไป แล้ววันนั้นประตูคุกจะปิดถาวร ต่อให้อยากออกก็ออกไม่ได้แล้ว วันนั้นคือความน่ากลัว สำหรับคนที่ไม่เคยปฏิบัติ จะมีวิธีชวนอย่างไร นี่เป็นเรื่องยากของทุกคนครับ ผมบอกง่ายๆ เลยว่า วิธีการที่เกิดขึ้นง่ายๆ กับทุกคนเพราะคุณเปลี่ยน ถ้าคุณมาปฏิบัติธรรมแล้วคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จะมีคนมาสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเขาไม่มา จะมีคำๆ หนึ่งที่พูดกัน "ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างคนนี้น่ะเหรอ...ฉันไม่ไป" ทุกคนที่ปฏิบัติคือคนที่จะออกไปประกาศศาสนา ถ้าคุณไม่เปลี่ยนอะไรเลย แม้แต่คนรอบข้างยังดูไม่ออกเลย คุณทำลายศาสนาด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้คนสนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น เยอะมากขึ้นครับ ถ้ามองจากเทรนด์ เยอะมากขึ้น จะด้วยความทุกข์ที่มากขึ้น ความเข้าใจที่มากขึ้น สถานปฏิบัติธรรมดีๆ ต่อให้คนไม่สนใจธรรมะ บางคนอยากมาพักผ่อน แต่พอมาแล้วได้ไปด้วย พอได้ไปด้วยก็เลยเข้ามาเลย เด็กจะอยากอาบน้ำหรือไม่อยากอาบน้ำ ถ้าเข้าไปห้องน้ำแล้วโดนถูสบู่ ยังไงก็สะอาด...จะอยากมา ไม่อยากมา เข้ามาพอ จบก็ใจสะอาดแล้ว ... หลังบทสนทนา (ทั้งทางธรรมและทางโลก) จบลง แม้ไม่ได้ตั้งใจฟังธรรม ไม่ได้คิดว่าต้องยกระดับจิตใจ ทว่า รู้ตัวอีกทีจิตใจก็สะอาดไปเปราะหนึ่งแล้ว source:http://bit.ly/V0mtuv 2013-03-15