พระเดี๋ยวนี้ไม่น่าศรัทธาเลย

22 พ.ค. 56 / 1329 อ่าน

คนทั้งบ้านทั้งเมืองพูดกันอย่างนี้ ไม่ว่าจะข่าวที่ออกทางสื่อทุกวัน มีทุกวันที่เกี่ยวกับพระในทางที่เป็นลบ ก็เข้าใจนะมันอดสะเทือนไม่ได้ เพราะเห็นๆกันจริงๆว่าที่เกิดขึ้นกับพระในศาสนาพุทธจริงๆ และก็คงไม่มาแก้ตัวแทนว่าพระดีก็มีนะ เพราะทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้ว   แต่ที่ต้องการจะสื่อเพียงว่า พระไม่ดี ไม่ได้แปลว่าศาสนาจะไม่ดี พระไม่ดีไม่ดีอยู่ที่พระรูปนั้นๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ว่าใครจะดีใครจะไม่ดี เราทำที่ตนให้ดี ปฏิบัติตามมรรค แล้วคุณธรรม จริยธรรมในหมวดต่างๆก็มากันเอง จนถึงเกิดปัญญาชำระกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ลงได้   แล้วเรื่องราวภายนอกล่ะ แน่นอนมันย่อมกระทบพุทธศาสนาให้เกิดความเสื่อม เมื่อเกิดความเสื่อมขึ้น บุคคลผู้ไม่เข้าใจในแก่นธรรมก็จะพาลเสื่อมศรัทธาไปได้ ในเบื้องนี้ต้องมองกลับไปที่ความยั่งยืนต่อไปของพุทธศาสนาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าอะไรจะเป็นไปดั่งใจหรือไม่ก็ตาม การจรรโลงพุทธศาสนาให้ยืนยาวออกไปเป็นเรื่องจำเป็น ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่มีพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแน่ๆ ทุกยุคทุกสมัยก็มีพระที่ทำผิดธรรมวินัยแบบนี้มาตลอด แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเอง แต่หากเราไม่ช่วยกันก็จะไม่มี ๓๐๐๐ ปีปัญญาการตรัสรู้ ให้ผู้คนในอนาคต   ขั้นต่อไป หากท่านจะทำบุญทำกุศลก็ให้อยู่ในสงฆ์สุปฏิปันโนเป็นลำดับแรก ไม่ได้บอกว่าจะต้องไปรู้หรือสนใจว่าท่านใดเป็นอะไร อริยะชั้นไหนให้มากเกินไป เพราะพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะช่วยจรรโลงพุทธศาสนาให้ยืนยาว ส่วนหากท่านจะไปทราบด้วยวิธีใดก็ตามว่าองค์ไหนบรรลุขั้นไหนแลัวอยากไปช่วยให้ท่านได้ทำงานให้พระศาสนาได้เต็มที่ก็ขออนุโมทนา แต่ถ้าเพียงอยากได้บุญเยอะๆ นั่นก็นับว่าทำบุญไป สร้างตัวตนไป ทำท่าชักเย่อกันยังไงพิกลนะ เพราะบุญนั้นเป็นการชำระกิเลส แต่การสร้างตัวตนเป็นโมหะ แถมมีโลภะเข้าไปปนด้วยคืออยากได้อานิสงส์แห่งบุญที่ทำ   แต่หากสงฆ์ที่ทำความเสื่อมเสีย ผิดธรรมวินัยอย่างชัดเจนเห็นได้ เช่นเดินขอเงินอ้างว่าไม่มีค่ารถ อย่างนี้อย่าไปสนับสนุนเลย เพราะนั่นจะสร้างเหลือบเข้ามาในพุทธศาสนายิ่งทำให้ศาสนาเสื่อมเร็วขึ้น อย่าไปกลัวบาปที่จะปฏิเสธ พระพุทธเจ้ามีธรรมวินัยไม่ให้สงฆ์ขอจากผู้ไม่ได้ปวารณา ดังนั้นท่านเดินอยู่แล้วพระเดินเข้ามาขอ นั่นท่านไม่เคยปวารณาว่าจะอุปัฏฐาก เชื่อเถอะว่าพระแท้ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน นอกจากเราเห็นแล้วมีศรัทธาต้องการถวายก็สามารถทำได้อยู่แล้ว   ดังนั้นชาวพุทธต้องแยกแยะให้ได้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา จับเป็นประเด็นให้ถูก ศาสนาต้องยืนยาวต่อไปเพื่อให้มีหนทางแห่งการพ้นทุกข์สืบไป ไม่อย่างนั้นหากในอดีตผู้คนไม่ช่วยกันจรรโลงศาสนาเอาไว้ วันนี้จะไม่มีท่านพุทธทาส หลวงปู่มั่นฯลฯ แต่ในการช่วยกันจรรโลงนั้นต้องช่วยกันจัดการให้เหลือบของศาสนาออกไปด้วย ด้วยการช่วยกันดูแลพระให้เป็นไปให้ถูกต้องตามธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเราเองด้วย   และทีสำคัญที่สุดก็คือ ชาวพุทธทุกคนไม่ควรจะมัวมองไปเฉพาะแต่พระ แต่ต้องมองกลับมาที่ตน เป็นสาวกที่ดี เป็นคนดี อยู่ในศีล ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก ศึกษาพระธรรม สืบทอดพระธรรม อย่าโยนไปเป็นหน้าที่ของใคร จนกระทั่งนำตนเข้าสู่การปฏิบัติ ให้พระธรรมเข้าไปอยู่ในจิตในใจ นั่นล่ะ ที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ศาสนามีผู้สืบทอดต่อๆกันไป ศาสนาจะจบในยุคของใครไม่รู้ แต่ต้องไม่จบในยุคของเรา   2013-05-22