จะมัวนั่งเสียใจอยู่ทำไม

24 ก.ย. 56 / 2383 อ่าน

ถูกเจ้านายต่อว่า   ถูกสามีต่อว่า   ถูกลูกต่อว่า   ถูกเพื่อนร่วมงานต่อว่า   ถูกลูกค้าต่อว่า   กำลังทุกข์ เศร้าโศก หมดกำลังใจ น้อยใจ คร่ำครวญ ว่าเราก็พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วแต่กลับไม่เห็นความดี ความตั้งใจกันบ้างเลย   เอาอย่างนี้นะ ผมเชื่อ ผมเข้าใจว่าเราเต็มที่แล้ว ผมเชียร์ผู้หญิง ผมเห็นใจผู้หญิง ผมแอบหวังเสมอว่า วันข้างหน้าจะมีผู้หญิงจำนวนมากเข้าถึงธรรมได้   พวกอารมณ์อกุศลที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง จมปลัก กลับมาอยู่กับกุศล ตั้งหน้าเดินหน้าไม่ย่อท้อ อย่างพระนางปชาบดี พระแม่น้าของพระพุทธเจ้า พระนางมีตำแหน่งใหญ่โต อายุก็มากแต่ทรงโกนผม เดินด้วยพระบาทเปล่าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อขอบวช แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระนางก็ร้องไห้เสียใจ แต่ในที่สุดพระอานนท์พยายามทูลขอจนพระองค์ตกลงให้บวชได้ และในที่สุดก็บรรลุธรรม   อย่าจมอยู่กับความเศร้าโศกในวันนี้ หนทางแห่งการพ้นทุกข์ยังมี ผู้หญิงทั้งหลาย อย่ารอโชคชะตา อย่ารอชาติหน้า อย่ารอให้ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทุกข์จะมากน้อยเพียงใด   ขณะนี้ ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รู้จักมรรคมีองค์๘ วางความเศร้าโศก หรือความทุกข์ลงเถอะแล้วกลับมามีสติ กลับมาเป็นมนุษย์ให้คุ้มค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์   ถ้าจะมีใครสักคนที่เสียใจ นางปฏาจาราเสียใจยิ่งกว่าใครๆ แต่วันที่เสียใจที่สุด ได้กลับฟื้นคืนมาได้เพราะคำของพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสต่อนางปฏาจาราว่า   “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”   นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง   ในเวลานี้ นางกำหนดความที่ผ้านุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิดหิริโอตัปปะขึ้น จึงนั่งกระโหย่ง ลำดับนั้น บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มไปให้นาง   นางนุ่งผ้านั้นแล้วเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสองซึ่งมีพรรณะดังทองคำแล้วทูลว่า   “ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตายเขาเผาเชิงตะกอนเดียวกัน”   พระศาสดาทรงสดับคำของนาง จึงตรัสว่า   “อย่าคิดเลย ปฏาจารา เธอมาอยู่สำนักของผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว เหมือนอย่างว่า บัดนี้ บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายแล้วที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับฉันใด น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารนี้ ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรเป็นต้นตาย ยังมากกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน”   ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า   น้ำในสมุทรทั้ง ๔ มีประมาณน้อย น้ำตาของคนผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้าโศก ไม่ใช่น้อย มากกว่าน้ำในมหาสมุทรนั้น เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า? แม่น้อง   เมื่อพระศาสดาตรัส อนมตัคคปริยายสูตร อยู่อย่างนั้น ความโศกในสรีระของนาง ได้ถึงความเบาบางแล้ว   ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบที่นางผู้มีความโศกเบาบางแล้ว ทรงเตือนอีก แล้วตรัสว่า   “ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้;เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น”   เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า   “บุตรทั้งหลาย ไม่มีเพื่อต้านทาน บิดาก็ไม่มี ถึงพวกพ้องก็ไม่มี เมื่อบุคคลถูกความตาย ครอบงำแล้ว ความต้านทานในญาติทั้งหลาย ย่อมไม่มี;   บัณฑิตทราบอำนาจประโยชน์นั้นแล้ว สำรวมในศีล พึงชำระทางไปนิพพานโดยเร็วทีเดียว”   ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล 2013-09-24